รีเซต

รามาฯ–สวรส.–สสส. เผยคนไทยเสี่ยงโรค NCDs พุ่ง วัยรุ่นต่ำกว่า 40 ปีเข้าข่ายมากสุด

รามาฯ–สวรส.–สสส. เผยคนไทยเสี่ยงโรค NCDs พุ่ง วัยรุ่นต่ำกว่า 40 ปีเข้าข่ายมากสุด
TNN ช่อง16
9 พฤศจิกายน 2568 ( 23:15 )
11

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey: NHES) ครั้งที่ 7 พ.ศ.2567–2568 ในหัวข้อ “สถานการณ์โรค NCDs ของไทย แนวโน้มและข้อเสนอเชิงนโยบาย” พบว่าสถานการณ์สุขภาพของคนไทยอยู่ในภาวะน่าห่วง โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูงขึ้น ทั้งการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ขาดการออกกำลังกาย และภาวะอ้วน

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช หัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่า การสำรวจครั้งนี้ใช้วิธีตรวจร่างกายและตรวจเลือดของกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มทั่วประเทศ ทำให้ผลมีความน่าเชื่อถือสูง โดยพบว่า ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจะมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ำกว่า 40 ปี ตัวอย่างเช่น กลุ่มอายุ 15–34 ปี หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงจะป่วยเบาหวานเพียง 0.3% แต่หากมีพฤติกรรมเสี่ยงครบ จะเพิ่มเป็นถึง 45.2%

ที่น่ากังวลคือ อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มอายุ 15–34 ปีเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ในผู้สูงอายุมีแนวโน้มลดลง โดยพบว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากว่า 70% มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มพฤติกรรมบริโภคยุคใหม่ที่มีการตลาดเจาะเยาวชน

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ จากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ระบุว่า ข้อมูลจากการสำรวจควรถูกนำไปใช้จริงในการกำหนดนโยบาย เพราะปัญหา NCDs ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงสาธารณสุขเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยการร่วมมือจากหลายกระทรวง เช่น มาตรการภาษี ควบคุมการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ และการจัดการสิ่งแวดล้อมทางสังคม โดยเฉพาะการควบคุมยาสูบที่ยังดำเนินงานได้เพียง 20 จังหวัดทั่วประเทศในปีที่ผ่านมา ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบ

รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ จากสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้คนไทยรู้ว่าตนเองป่วยเบาหวานมากขึ้นถึง 73% แต่ยังมีเพียงไม่ถึง 40% ที่ควบคุมโรคได้ ซึ่งสะท้อนปัญหาการเข้าถึงและการสื่อสารสุขภาพที่ยังขาดประสิทธิภาพ

นพ.กฤษดา หาญบรรเจิด จากกรมควบคุมโรค ชี้ว่า ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในวัยทำงานยังเข้าไม่ถึงระบบบริการ จึงมีแนวนโยบายขยายบริการนอกเวลาราชการ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและส่งเสริมอาหารปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย เสริมว่า การจัดการโรค NCDs ต้องใช้สหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล และนักโภชนาการ โดยเริ่มจากการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก เช่น รณรงค์ดื่มนมแม่ และนโยบายโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้เด็กและครอบครัวมีพฤติกรรมบริโภคที่ดีต่อเนื่องถึงชุมชน

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ระบุว่า การเผยแพร่ข้อมูลนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะระบบสุขภาพไทยกำลังเผชิญปัญหางบประมาณขาดดุล โรงพยาบาลขาดทุน และการเบิกจ่ายล่าช้า ข้อมูลจากการสำรวจสามารถนำมาเชื่อมโยงกับเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เพื่อให้ประชาชนเห็นว่า “สุขภาพดีคือการออม” และลดภาระค่าใช้จ่ายของประเทศในระยะยาว

องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า NCDs สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจไทยกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี และแนะให้ทุกภาคส่วนดำเนินการร่วมกัน โดยเฉพาะภาคเอกชนผู้ผลิตสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ควรตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน พร้อมเสนอแนวทางจัดตั้ง “วอร์รูมระดับชาติ” แบบเดียวกับช่วงโควิด-19 เพื่อแก้ปัญหา NCDs อย่างจริงจัง

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวปิดท้ายว่า สสส. จะใช้ข้อมูลจากการสำรวจนี้พัฒนาดัชนีภาระโรค (Burden of Diseases) และคะแนนสุขภาพประชาชน (Health Score) เพื่อใช้ติดตามสถานะสุขภาพในระดับพื้นที่แบบเรียลไทม์ รวมถึงกำหนดให้ “ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ” เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และภาวะอ้วน เป็นตัวชี้วัดหลักของการดำเนินงานในยุคใหม่ เพื่อสร้างแผนยุทธศาสตร์สุขภาพที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานมากขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง