Luxury ยังรอด! "Richemont" ขายดีทั่วโลก แม้จีนสะดุด l การตลาดเงินล้าน
บริษัท Richemont ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าแบรนด์หรูจากสวิตเซอร์แลนด์ รายงานยอดขายไตรมาส 4 สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2568 เติบโตร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 5.17 พันล้านยูโร หรือประมาณ 192,000 ล้านบาท สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.98 พันล้านยูโร หรือประมาณ 185,000 ล้านบาท จากการสำรวจของ LSEG
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งมาจากการเติบโตแบบ "สองหลัก" ของแผนกเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ดังอย่าง คาร์เทียร์ (Cartier), แวน คลีฟ แอนด์ อาเพลส์ (Van Cleef & Arpels) และบุชเชลาติ (Buccellati) แม้ว่ายอดขายในกลุ่มนาฬิกาอย่าง เพียเจต์ (Piaget) และโรเจอร์ ดูบุย (Roger Dubuis) จะลดลง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งยอดขายในจีนลดลงถึงร้อยละ 23
แต่ยอดขายตลอดทั้งปีของกลุ่มก็ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เป็น 21,400 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าและมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 21,340 ล้านยูโร
โยฮัน รูเพิร์ต ประธาน Richemont กล่าวในแถลงการณ์ว่าผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มนั้นแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่โดดเด่นของร้านจิวเวลรี่และร้านค้าปลีก และโมเมนตัมที่ปรับปรุงดีขึ้นในกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ Watchfinder & Co ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกนาฬิกามือสอง
อย่างไรก็ตาม ประธานบริษัทกล่าวเสริมว่าความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลกยังคงต้องการความคล่องตัวและวินัยที่แข็งแกร่งต่อไป
Bank of America Global Research กล่าวในบันทึกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า Richemont เผชิญหน้ากับอุปสรรคสำคัญระดับโลก 3 ประการ ได้แก่ ราคาทองคำ ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยอาศัยความแข็งแกร่งของฟรังก์สวิสและการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของธนาคารกล่าวเสริมว่าอำนาจในการกำหนดราคาของบริษัทก็อาจเป็นแรงหนุนได้ เพราะการกำหนดราคา การผสมผสานผลิตภัณฑ์ และกำลังการผลิตที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยชดเชยที่ชัดเจนที่สุด โดยการกำหนดราคาน่าจะคลี่คลายผลกระทบจากอุปสรรคได้ครึ่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ Richemont เคยรายงานตัวเลขยอดขายประจำไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในเดือนมกราคมที่ 6,200 ล้านยูโร แม้ว่าความต้องการในจีนจะได้รับผลกระทบก็ตาม ในเวลานั้น รายได้ถือเป็นสัญญาณของการพลิกกลับในวงกว้างของภาคส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยที่กำลังประสบปัญหา
อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามจากภาษีการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาคที่ตามมาได้คุกคามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการใช้จ่ายผู้บริโภคทั่วโลกอีกครั้ง