เปิดตู้เซฟมหาเศรษฐีโลก Gen ไหนรวยสุด

บริษัทวิจัยข้อมูล “อัลตราตา” (Altrata) เผยแพร่รายงานความมั่งคั่งโลก ปี 2568 (World Ultra Wealth Report 2025) ที่วิเคราะห์ข้อมูลนับถึงสิ้นเดือนมิถุนายนปีนี้ พบว่า บรรดาเศรษฐีทั่วโลกยังเพิ่มความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งปีแรก โดยกลุ่มอภิมหาเศรษฐีรวยสุดที่มีสินทรัพย์สุทธิมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ (ultra high net worth-UHNW) มีจำนวนราว 510,810 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 นับตั้งแต่เริ่มต้นปี และมีความมั่งคั่งรวมกันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.7 อยู่ที่ 59.8 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่า GDP ของสหรัฐฯ ราวเท่าตัว และในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มคนรวยระดับบนสุดเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แซงหน้าการเพิ่มขึ้นของประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกถึง 7 เท่า
ส่วนมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์สุทธิระหว่าง 5-30 ล้านดอลลาร์ (very high net worth-VHNW) มีจำนวนทั้งหมด 4.8 ล้านคน ถือครองความมั่งคั่งรวม 47.7 ล้านล้านดอลลาร์ และกลุ่มเศรษฐีที่มีสินทรัพย์สุทธิ 1-5 ล้านดอลลาร์ มีจำนวนประมาณ 41.3 ล้านคน และถือครองความมั่งคั่ง 77.1 ล้านล้านดอลลาร์
การเพิ่มขึ้นของบรรดาคนรวยทั่วโลกส่งผลให้อุตสาหกรรมและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาเศรษฐีเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีความสนใจและความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าและบริการสุดหรูที่มีมูลค่าประมาณ 2.9 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 21 ของการใช้จ่ายโดยตรงของผู้บริโภคในส่วนสินค้าหรู เช่นเดียวกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่คนรวยสุดเหล่านี้มีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงในการลงทุนประมาณ 30 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับร้อยละ 10 ของสินทรัพย์ประเภทเดียวกันทั้งโลก กลุ่มเศรษฐีระดับบนสุดจึงเป็นลูกค้าหลักสำหรับผู้ให้บริการทางการเงินต่าง ๆ
น่าสนใจว่า ท่ามกลางความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นและทัศนคติที่เปลี่ยนไป กลุ่มคนรวยระดับบนสุดนิยมบริจาคทรัพย์สินให้กับองค์กรการกุศลทั่วโลก ทั้งนี้ ในปี 2566 กลุ่มอภิมหาเศรษฐีใจบุญทั่วโลกบริจาคทรัพย์สินราว 2.07 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 3 ของการบริจาคทั้งหมดที่ทำในนามบุคคล อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของโลกก็ได้รับผลกระทบจากหลาปัจจัย ทั้งความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว มาตรการกีดกันทางการค้า ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง โครงสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า ความมั่นคงที่เผชิญจุดเปลี่ยนจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ส่งผลให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังตลาดอื่น ๆ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
เมื่อเทียบความมั่งคั่งแยกรายภูมิภาค พบว่า อเมริกาเหนือยังคงมีผลงานโดดเด่น โดยมีจำนวนอภิมหาเศรษฐี (UHNW) มากที่สุดราว 208,090 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ส่วนมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของกลุ่ม UHNW อยู่ที่ 24 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 และคิดเป็นร้อยละ 40.1 ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดทั่วโลก แต่ความมั่งคั่งดังกล่าวก็ชะลอตัวลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัวในระดับร้อยละ 20 ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความโดดเดี่ยวจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ส่วนเศรษฐกิจของ “แคนาดา” ก็ชะลอตัวลง เนื่องจากความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก
ภูมิภาคเอเชียทำผลงานดีไล่เลี่ยกัน โดยมีจำนวนอภิมหาเศรษฐี (UHNW) อยู่ที่ 129,100 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 สูงกว่าภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงยุโรป เอเชียจึงยังสามารถครองสถานะภูมิภาคที่มีความมั่งคั่งมากสุดอันดับ 2 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 แต่เอเชียก็หนีไม่พ้นความไม่แน่นอนจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ประกอบกับความต้องการบริโภคทั่วโลกที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งในเอเชียยังได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีเกินคาด เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง การผ่อนคลายนโยบายการเงินของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค และความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ส่งผลให้การถือครองความมั่งคั่งสุทธิของ UHNW ในเอเชียเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 อยู่ที่ 14.8 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.8 ของทั้งโลก
ภูมิภาคยุโรปทำผลงานตามมา โดยมีจำนวน อภิมหาเศรษฐี (UHNW) 127,480 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เนื่องจากความมั่งคั่งในเขตเศรษฐกิจหลัก ๆ อาทิ เยอรมนี อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้รับผลกระทบจากมาตรการนโยบายการค้าของสหรัฐฯ สำหรับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกลุ่ม UHNW ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 14.7 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 ด้านภูมิภาคตะวันออกกลาง มีจำนวน UHNW อยู่ที่ 21,160 คน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 และความรวยของบรรดา UHNW อยู่ที่ราว 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4
รายงานฉบับนี้ยังฉายภาพให้เห็นว่า เหล่าอภิมหาเศรษฐี (UHNW) ที่ร่ำรวยสุดอาศัยอยู่ที่ไหนกันบ้าง โดยจำนวนประชากรกลุ่มนี้ราว 3 ใน 4 อาศัยอยู่ใน 10 เขตเศรษฐกิจของโลก ซึ่งเน้นย้ำถึงสถานะอันทรงอิทธิพลของเขตเศรษฐกิจเหล่านี้ อันดับ 1 ได้แก่ สหรัฐฯ ที่เป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งของโลก ด้วยจำนวน UHNW รวม 192,470 คน คิดเป็นร้อยละ 38 ของจำนวนอภิมหาเศรษฐีระดับบนสุดทั้งหมด และมากกว่าจำนวนของเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ในทำเนียบ 10 อันดับแรกรวมกัน ขณะที่มูลค่าความมั่งคั่งแตะที่ 22.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะได้แรงหนุนจากผลตอบแทนในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
“จีน” เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีจำนวน UHNW ตามมาในอันดับ 2 อยู่ที่ 52,020 คน และความมั่งคั่งสุทธิรวมอยู่ที่ 5.9 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ในช่วงแรกของปีนี้จีนจะเผชิญสงครามการค้าที่รุนแรงกับสหรัฐฯ และข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้นจนกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลจีนก็ออกมาตรการรับมือหลายเรื่อง ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการผลิตที่ทันสมัย สำหรับเขตเศรษฐกิจที่มีจำนวน UHNW ตามมาในอันดับ 3 คือ “เยอรมนี” ด้วยจำนวนรวม 26,570 คน และมีความมั่งคั่งรวมทั้งหมด 3.1 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม “ฮ่องกง” เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีจำนวน UHNW เพิ่มขึ้นในอัตราเลข 2 หลัก ซึ่งมากสุดเมื่อเทียบกับเขตเศรษฐกิจชั้นนำทั้งหมด โดยจำนวน UHNW อยู่ที่ 17,215 คน และความมั่งคั่งสุทธิแตะที่ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ฮ่องกงได้อานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้ฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินขนาดใหญ่สุดของเอเชียมีความน่าสนใจ ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการปฏิรูปอสังหาริมทรัพย์และกำไรจากการลงทุน (equity gain) ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาคการเงินยังได้ประโยชน์จากการแห่เข้ามาของบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
เมื่อพิจารณาแยกตามเจนเนเรชัน พบว่า คนรุ่นมิลเลนเนียลและคน Gen Z มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 8.2 ของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีระดับบนสุด ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมกันในปัจจุบัน 59.8 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มเบบี้บูม ครองส่วนแบ่งมากที่สุดเกือบร้อยละ 44.5 ส่วนกลุ่ม Gen X มีสัดส่วนราวร้อยละ 25 และกลุ่มไซเลนต์ (Silent) หรือผู้ที่เกิดในปี พ.ศ.2488 หรือก่อนหน้านั้นมีสัดส่วนร้อยละ 22.4
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างประชากรในช่วง 15 ปีข้างหน้า จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อภาพรวมความมั่งคั่งโลก โดยภายในปี 2583 กลุ่ม “Next Gens” (Gen Z และมิลเลนเนียล) ในปัจจุบันจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็นเกือบร้อยละ 35 ของจำนวน UHNW ทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากเพียงร้อยละ 8 ในขณะนี้ ส่วนกลุ่ม Gen X ที่มีอายุระหว่าง 44-59 ปี จะมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 45.3 ในช่วงเดียวกัน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากร้อยละ 25 ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน สัดส่วนของกลุ่มเบบี้บูมและกลุ่มไซเลนต์ซึ่งเกิดก่อนหน้านั้นจะมีการลดลงอย่างต่อเนื่องจากที่มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 67 จะเหลือเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น
ความเปลี่ยนแปลงในอีก 15 ปีข้างหน้าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของกลุ่มคนรวยระดับบน ทั้งความชอบ ประสบการณ์ ค่านิยม และความต้องการที่แตกต่างกันของคนรุ่นต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุน การวางแผนมรดก การบริจาคเพื่อการกุศล การบริหารความมั่งคั่ง และความต้องการสินทรัพย์หรูประเภทต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปจากเดิม
ปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล สภาพภูมิอากาศและพลังงาน ประชากร ภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ (geoeconomics) รวมถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของลัทธิกีดกันทางการค้าและการแบ่งขั้วทางการเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภูมิทัศน์การลงทุน ขณะเดียวกันก็อาจเร่งให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นกัน อาทิ AI พลังงานสะอาด
รายงานคาดการณ์ว่า จำนวนอภิมหาเศรษฐี (UHNW) ทั่วโลกและความมั่งคั่งสุทธิของคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2573 โดยจำนวนคนรวยระดับบนสุดทั่วโลกจะมีจำนวน 676,970 คน เพิ่มขึ้น 166,160 คน จากระดับในช่วงกลางปี 2568 โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียจะมีจำนวนคนรวยสุด ๆ กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมากสุด ทำให้สัดส่วนของประชากร UHNW ในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 27 จากร้อยละ 25 ในปัจจุบัน และแนวโน้มความมั่งคั่งในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นไปในเชิงบวก นำโดยอินเดียที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับศูนย์กลางความมั่งคั่งอย่างสิงคโปร์และญี่ปุ่น รวมทั้งอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ส่วนจำนวน UHNW ในอเมริกาเหนือจะเพิ่มขึ้น 68,140 คน อยู่ที่ 276,230 คน ซึ่งตามหลังเอเชียเล็กน้อยและอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
