รีเซต

ผวาหนี้เน่าหลอน! ธปท.อุ้มลูกหนี้เสี่ยงเอ็นพีแอลดึงแบงก์ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิด วงเงินมากถึง 1.2 ล้านล้าน

ผวาหนี้เน่าหลอน! ธปท.อุ้มลูกหนี้เสี่ยงเอ็นพีแอลดึงแบงก์ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิด วงเงินมากถึง 1.2 ล้านล้าน
ข่าวสด
21 สิงหาคม 2563 ( 14:59 )
74
ผวาหนี้เน่าหลอน! ธปท.อุ้มลูกหนี้เสี่ยงเอ็นพีแอลดึงแบงก์ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิด วงเงินมากถึง 1.2 ล้านล้าน

 

ธปท.อุ้มลูกหนี้เสี่ยงเน่าดึงแบงก์ช่วยลูกค้าโดนพิษโควิดประมาณ 8,400 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท - ชี้มีผู้ประกอบการต้องเผชิญกับอุปสรรคในการมีเจ้าหนี้หลายราย

ธปท.อุ้มลูกหนี้เสี่ยงเอ็นพีแอล - นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานชาติ และสถาสบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จัดทำ โครงการ DR BIZ การเงินร่วมใจ ธุรกิจไทยมั่นคง (โครงการดีอาร์บิส) เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายรายให้ได้รับการบรรเทาภาระหนี้และให้มีกลไกในการจัดการหนี้กับสถาบันการเงินทุกแห่งได้อย่างบูรณาการ ซึ่งโครงการดังกล่าวช่วยลดเวลาให้สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น ผ่านแนวทางการแก้ไขหนี้ที่เจ้าหนี้ได้ตกลงร่วมกันในรูปแบบมาตรฐาน

 

และการกำหนดบทบาทของเจ้าหนี้หลักในการดูแลลูกหนี้และประสานกับเจ้าหนี้อื่น ทำให้การตัดสินใจแก้ไขหนี้ทำได้รวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ให้ธุรกิจของลูกหนี้สามารถฟื้นตัวได้ตามศักยภาพของตัวเอง รวมทั้งปรับตัวให้ทันกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ภาคธุรกิจที่มี่ความสำคัญต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศสามารถฟื้นตัวได้ในระยะต่อไป

 

“มีการประเมินว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต้องใช้เวลากว่า 2 ปี จึงจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และมีกาประเมินว่าหลายภาคอุตสาหกรรมต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว และในอีกหลายภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับปัญหากำลังแรงงานส่วนเกินเป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ”นายวิรไท กล่าว

 

ทั้งนี้ ธปท. ได้ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการออกหลายมาตรการเพื่อเป็นแรงจูงใจให้สถาบันการเงินออกโครงการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเฉพาะการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยสถาบันการเงินให้ไม่ต้องมีภาระในการตั้งสำรองหนี้สูงขึ้น โดยมีการแก้เกณฑ์หลายอย่างเพื่อเร่งให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับปัญหาของแต่ละผู้ประกอบการ

 

ทั้งนี้ เพราะมีการประเมินว่าในช่วงเวลาข้างหน้าจะมีผลกระทบที่ต่างกับสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ดังนั้นมาตรการข้างหน้าที่จะต้องเร่งดำเนินการคือการปรับโครงสร้างหนี้ให้ตรงกับปัญหาแต่ละกลุ่ม เพราะการทำมาตรการช่วยเหลือแบบทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์ มากเท่ากับการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับปัญหาของแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ

 

นายวิรไท กล่าวว่า ประเมินว่าจะมีลูกค้าที่มีหนี้ 50-500 ล้านบาท ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ประมาณ 8,400 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท

 

“ปัญหาที่ต้องเผชิญข้างหน้า คือ ยังมีผู้ประกอบการจำนวนมากต้องการให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงรุก และยังมีอีกหลายผู้ประกอบการต้องเผชิญกับอุปสรรคในการมีเจ้าหนี้หลายราย ทำให้การปรับโครงสร้างหนี้อาจไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการเร่งทำมาตรการเพื่อลดปัญหาในระยะยาว เพื่อช่วยแก้ปัญหาทั้งลูกหนี้และสถาบันการเงิน ลดภาระการตั้งสำรองหนี้เสีย ลูกหนี้ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล สะท้อนว่าโครงการดีอาร์บิสมีความสำคัญ และถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะช่วยเร่งให้เกิดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงรุก”นายวิรไท กล่าว

 

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ลูกหนี้ธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการดีอาร์บิส จะเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ยังคงมีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาจากสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบของโควิด-19 โดยสถาบันการเงินจะมีเครื่องมือและแนวทางในการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจที่เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้แต่ละราย เช่น การขยายเวลาชำระหนี้ การลดค่างวด หรือการปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระให้สอดคล้องกับธุรกิจของลูกหนี้ รวมทั้งการพิจารณาให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกหนี้ที่มีศํกยภาพ มีแผนธุรกิจชัดเจน มีพฤติกรรมชำระหนี้ดี และมีความตั้งใจในการทำธุรกิจ

 

ทั้งนี้ โครงการดีอาร์บิส จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2563 มีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี โดยในระยะแรกเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมุ่งกลุ่มลูกหนี้ธุรกิจที่มีหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายรายวงเงินรวมกันตั้งแต่ 50-500 ล้านบาท และสามารถใช้แนวทางที่กำหนดร่วมกันดังกล่าวขยายผลไปยังกลุ่มลูกหนี้ธุรกิจที่มีวงเงินขนาดอื่นได้ต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่จะเข้าร่วมโครงการต้องมีสถานะหนี้ปกติ หรือเป็นหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) กับธนาคารบางแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2562 เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 และต้องไม่ถูกฟ้องคดี ยกเว้นเจ้าหน้าที่ถอนฟ้อง ซึ่งสถาบันการเงินจะใช้เวลาในการพิจารณา 1 หลังได้รับข้อมูลและเอกสารจากลูกหนี้ครบถ้วน

 

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เจ้าหนี้รายใหญ่จะเป็นผู้ประสานงานในการแก้หนี้ให้กับลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายราย โดยจะเป็นผู้ประสานกับเจ้าหนี้รายอื่น เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการแก้ปัญหา เป็นประโยชน์ทั้งกับลูกหนี้ สถาบันการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ โดยการปรับโครงสร้างหนี้จะมีทั้งการยืดอายุหนี้ การหาผู้ร่วมทุน และการให้สินเชื่อเพิ่มเติม

 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมมี 45 อุตสาหกรรม ส่วนใหญ่มีปัญหาสภาพคล่องและเม็ดเงินอย่างมาก โดยแต่ละภาคอุตสาหกรรมจะมีความต้องการความช่วยเหลือแตกต่างกันไป เพราะว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า และการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง โดยโครงการอีอาร์บิสนี้จะช่วยภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก ทำให้แก้ปัญหาหนี้ได้เร็ว เพราะขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถรอเวลาต่อไปได้อีกแล้ว ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งการยืดเวลาการชำระหนี้ การเพิ่มวงเงินสินเชื่อ และการหาผู้ร่วมที่ ธปท. และสถาบันการเงินจะช่วย จะเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเดินหน้าผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง