"อิเกีย" ชะลอแผนขายถูก! ปรับโมเดลธุรกิจใหม่

ภาคธุรกิจค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลกกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ หลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ไม้รอบใหม่ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแตะร้อยละ 30 สำหรับเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป และอาจพุ่งถึงร้อยละ 50 สำหรับตู้ครัวและตู้ล้างหน้า หากไม่มีการเจรจาผ่อนปรนระหว่างประเทศคู่ค้า

หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ IKEA (อิเกีย) ผู้ค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่จากสวีเดนที่มีชื่อเสียงจากโมเดลธุรกิจ สินค้าคุณภาพดีในราคาย่อมเยา ซึ่งต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์ด้านราคาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

นายโทลก้า อึนจือ ผู้บริหารฝ่ายค้าปลีกของกลุ่ม Ingka ซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการร้านอิเกียส่วนใหญ่ทั่วโลก เปิดเผยว่า บริษัทไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าบางรายการ ขณะเดียวกันก็พยายามหาวิธีลดต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินงาน เพื่อชะลอผลกระทบต่อผู้บริโภคให้น้อยที่สุด

รายงานจาก The Wall Street Journal ระบุว่า อิเกียต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนโดยตรง เนื่องจากราวร้อยละ 90 ของสินค้าทั้งหมดมาจากซัพพลายเออร์ภายนอกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้บริษัทอยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคาสินค้าในหมวดเฟอร์นิเจอร์บางประเภทเริ่มขยับขึ้น เช่น โซฟาบางรุ่นมีราคาเพิ่มขึ้นราว 50 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนชุดห้องนอนเพิ่มขึ้นเกือบ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันจากต้นทุนที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับภาษีดังกล่าว อิเกียจึงเร่งปรับทิศทางธุรกิจ โดยเน้นการผลิตสินค้าในประเทศสหรัฐฯ มากขึ้น ปัจจุบันบริษัทผลิตตู้ครัวทั้งหมดสำหรับตลาดอเมริกาในประเทศเอง และกำลังพิจารณาขยายการผลิตไปยังหมวดสินค้าอื่น เช่น ที่นอนและเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ถือเป็นการเปลี่ยนจุดยืนจากช่วงต้นปี 2567 ที่อิเกียเคยประกาศแผนลดราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ หลังต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งเริ่มลดลงจากช่วงเงินเฟ้อสูง แต่การเก็บภาษีรอบใหม่ในครั้งนี้ได้ทำให้บริษัทต้องถอยกลับ สู่การบริหารต้นทุนเชิงรุกอีกครั้ง

ในมุมมองของนักวิเคราะห์ธุรกิจ การปรับขึ้นราคาของอิเกียครั้งนี้สะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์โลก ที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งเงินเฟ้อและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในระยะยาว โดยเฉพาะในตลาดที่อ่อนไหวต่อราคาอย่างสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า จุดแข็งของอิเกียยังคงอยู่ที่ประสิทธิภาพในการจัดการซัพพลายเชน และความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ แม้จะต้องปรับราคาสินค้าขึ้นก็ตาม

สำหรับตลาดโลก การเคลื่อนไหวของอิเกียครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณให้ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์รายอื่นทั่วโลกต้องเร่งปรับตัวเช่นเดียวกัน ทั้งด้านต้นทุน วัตถุดิบ การจัดหาผู้ผลิตในประเทศ และกลยุทธ์ด้านราคาที่สมดุลระหว่างความสามารถในการแข่งขัน และ ความยั่งยืนของธุรกิจ ในยุคที่ความเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลก