รีเซต

ฝนถล่มเอเชียโหด คร่าชีวิตผู้คนนับพัน

ฝนถล่มเอเชียโหด คร่าชีวิตผู้คนนับพัน
TNN ช่อง16
3 ธันวาคม 2568 ( 11:00 )
9

ทวีปเอเชียกำลังเผชิญหนึ่งในมหันตภัยทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องจากพายุหมุนเขตร้อนหลายลูกทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มคร่อมทั้งอินโดนีเซีย ศรีลังกา และไทย คร่าชีวิตแล้วมากกว่า 1,250 คน และยังมีผู้สูญหายอีกจำนวนมาก ความเสียหายครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ “ผิดปกติ” อีกต่อไป แต่เป็นผลลัพธ์ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศย้ำว่าเป็นหลักฐานชัดเจนของ ภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงและความถี่ของภัยพิบัติ จนหลายฝ่ายเรียกร้องให้ก้าวจาก “การเตือน” สู่ “การรับผิดชอบ” อย่างจริงจัง

 

เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับสิบประเทศกำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งใหญ่ หลังจากพายุหมุนเขตร้อนสามลูก ไต้ฝุ่น Koto, ไซโคลน Senyar และไซโคลน Ditwah พัดถล่มพร้อมกันในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน พายุทั้งสามแม้ไม่จัดอยู่ในระดับรุนแรงที่สุดหากวัดเฉพาะความเร็วลม แต่สร้างปริมาณฝนมากเป็นประวัติการณ์จนก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และความสูญเสียครั้งรุนแรง โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ศรีลังกา และไทย

ในศรีลังกา รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินและระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็น “วิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งประวัติศาสตร์” มีประชาชนกว่า 1.1 ล้านคน ต้องอพยพหนีน้ำ ขณะที่ในจังหวัดสุมาตราเหนือของอินโดนีเซีย ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแทบทุกพื้นที่เต็มไปด้วยดินถล่มแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน หมู่บ้านถูกโคลนทับถมและเส้นทางสัญจรถูกตัดขาดจำนวนมาก

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศอธิบายสาเหตุหลักว่า มวลอากาศและผิวน้ำทะเลที่อุ่นขึ้นจากภาวะโลกร้อนทำให้พายุเขตร้อนในปัจจุบัน “อุ้มน้ำได้มากขึ้นกว่าสมัยก่อน” ส่งผลให้ปริมาณฝนต่อพายุหนึ่งลูกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้พายุจะไม่ได้มีลมแรงก็ตาม นอกจากนี้ ภาวะลานีญาก็มีบทบาทสำคัญ เพราะทำให้น้ำอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตกถูกผลักเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียเพิ่มความชื้นในบรรยากาศอย่างมาก และกลายเป็นเชื้อเพลิงของฝนตกหนัก

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยท้องถิ่นก็ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น โดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่มีปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างผิดกฎหมาย ทำให้พื้นที่ป่าไม่สามารถซึมน้ำได้ตามธรรมชาติ ส่งผลให้ฝนหนักเพียงไม่กี่ชั่วโมงกลายเป็นน้ำไหลบ่ารุนแรงและดินถล่ม

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้ว่าจะยังต้องรอการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์เช่น attribution study เพื่อยืนยันว่าพายุแต่ละลูกได้รับอิทธิพลจากความร้อนในมหาสมุทรมากน้อยเพียงใด แต่ขณะนี้ข้อมูลโดยรวมชี้ชัดแล้วว่า “พายุยุคใหม่” ที่เกิดในสภาพภูมิอากาศที่อุ่นขึ้น คือเหตุผลจริงของความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น

 

ขณะที่หลายประเทศกำลังฟื้นตัวจากภัยพิบัติ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและนักเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศเตือนว่า รัฐบาลหลายแห่งยังไม่เตรียมพร้อมด้านระบบเตือนภัย การจัดการเมือง และมาตรการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศเลย ทำให้ประชาชนเป็นผู้รับผลกระทบเต็ม ๆ

 

หลังการประชุม COP30 จบลงโดยไม่มีความคืบหน้าทางการเงินที่ประเทศกำลังพัฒนาร้องขอ นักเคลื่อนไหวหลายคนเรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้วรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดจากการปล่อยคาร์บอนในอดีต และเร่งจัดหาเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าไม่ใช่เงินกู้ เพราะวิกฤตสภาพอากาศกำลังซ้ำเติมปัญหาหนี้สินของหลายประเทศ

 

แรงผลักดันด้านความรับผิดชอบเริ่มขยายตัวสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยเช่นกัน เช่น คดีที่ผู้ประสบภัยซูเปอร์ไต้ฝุ่น Odette ในฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องบริษัทน้ำมัน Shell ในศาลอังกฤษ หรือความเห็นล่าสุดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ที่ประกาศว่าประเทศต่าง ๆ มีหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศในการปกป้องโลกจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มิฉะนั้นอาจถือเป็น “การละเมิดต่อประชาคมโลก”

 

องค์การกาชาดและสภากาชาดระหว่างประเทศเตือนว่า ภัยพิบัติจากภูมิอากาศตอนนี้กำลังกลายเป็น “ความปกติใหม่” และประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องลงทุนกับระบบเตรียมพร้อมและสร้างความยืดหยุ่นให้ชุมชนมากกว่าที่เคย

 

ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์โดด ๆ แต่เป็นผลสะสมของ ภูมิอากาศที่อุ่นขึ้น, การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และความพร้อมของรัฐที่ไม่เพียงพอ พายุเขตร้อนที่อุ้มน้ำได้มากขึ้น ภาวะลานีญา และปัญหาตัดไม้ทำลายป่าทำให้เอเชียหลายประเทศเผชิญน้ำท่วมและดินถล่มครั้งรุนแรง จนคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวเรียกร้องให้โลกก้าวสู่การ “รับผิดชอบ” ทั้งในด้านการลดการปล่อยคาร์บอน, การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ, การคุ้มครองประชาชนที่เปราะบาง และการสนับสนุนด้านการเงินจากประเทศพัฒนาแล้ว เพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นคำเตือนอีกต่อไป แต่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าของผู้คนในเอเชียทุกวัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง