พรรคคอมมิวนิสต์จีน : "มติครั้งประวัติศาสตร์" เลื่อนสถานะ สี จิ้นผิง เทียบเท่าเหมา เจ๋อตุง และ เติ้ง เสี่ยวผิง
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้อนุมัติ "มติครั้งประวัติศาสตร์" ที่จะเสริมสร้างสถานะของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในประวัติศาสตร์การเมืองจีน และทำให้เขากระชับอำนาจได้เข้มแข็งขึ้น
เอกสารดังกล่าว ซึ่งสรุปประวัติศาสตร์ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์ มีเนื้อหาบอกเล่าความสำเร็จที่สำคัญ และทิศทางในอนาคตของพรรค
การอนุมัติมตินี้มีขึ้นในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 6 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของจีน
การอนุมัติ "มติครั้งประวัติศาสตร์" นี้เคยเกิดขึ้นเพียง 3 ครั้งนับแต่มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยครั้งแรกมีขึ้นในยุคของประธานเหมา เจ๋อตุง ในปี 1945 และครั้งที่ 2 มีขึ้นในยุคของนายเติ้ง เสี่ยวผิง ในปี 1981
เป้าหมายสำคัญของการอนุมัติมตินี้คือการยกสถานะของประธานาธิบดีสีให้เทียบเท่ากับอดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองคน
เหล่าผู้สันทัดกรณีต่างมองการออกมตินี้ว่าเป็นความพยายามของนายสี ที่จะลบล้างแก้ไขความพยายามหลายทศวรรษในการกระจายอำนาจของเหล่าผู้นำจีน ที่เริ่มต้นขึ้นในสมัยของนายเติ้ง เสี่ยวผิง และดำเนินเรื่อยมาในยุคของผู้นำจีนคนอื่น ๆ เช่น ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าจีนอาจจะกลับเข้าสู่การปกครองแบบ "ลัทธิบูชาบุคคล" (cult of personality)
การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 6 นี้มีขึ้นเป็นการลับ ต่อเนื่องเวลา 4 วัน โดยมีสมาชิกสูงสุดของพรรคเข้าร่วมการประชุมกว่า 370 คน และถือเป็นการประชุมใหญ่ครั้งสุดท้ายของคณะผู้นำพรรคก่อนจะถึงการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในปีหน้า ซึ่งคาดว่านายสีจะพยายามดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อเป็นสมัยที่ 3
เมื่อปี 2018 สภาประชาชนแห่งชาติจีนได้ลงมติผ่านความเห็นชอบให้แก้ไขธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์ ว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี จากที่จำกัดไว้สูงสุดเพียง 2 สมัย ให้เป็นการดำรงตำแหน่งอย่างไม่มีกำหนดได้ ซึ่งช่วยเปิดทางให้ประธานาธิบดีสี สามารถครองเก้าอี้ผู้นำได้ตลอดชีพ
มติครั้งนี้สำคัญอย่างไร
บรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า นี่จะช่วยให้นายสีมกุมอำนาจไว้ได้อย่างเหนียวแน่นยิ่งขึ้น
อดัม นี บรรณาธิการ China Neican ซึ่งให้บริการบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศจีน ระบุว่า "เขา (สี จิ้นผิง) พยายามสร้างให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษในเส้นทางของประเทศ"
นายนีอธิบายว่า การผลักดันมติครั้งประวัติศาสตร์ซึ่งมีนายสีเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวในยุคปัจจุบันของพรรคคอมมิวนิสต์และของประเทศจีนนั้น คือการแสดงอำนาจของนายสี แต่ขณะเดียวกันเอกสารฉบับนี้ก็เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เขาได้กุมอำนาจต่อไป
ดร.ชง จา เอียน จากมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ ระบุว่า ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนี้ทำให้นายสีแตกต่างไปจากอดีตผู้นำจีนคนอื่น ๆ
เขากล่าวว่า "อดีตประธานาธิบดี หู จิ่นเทา และเจียง เจ๋อหมิน ไม่เคยรวบอำนาจไว้อย่างแข็งแกร่งเท่ากับนายสี" แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ชัดเจนว่าผู้นำทั้งสองจะพยายามทำแบบเดียวกับนายสีหรือไม่หากมีโอกาสแบบเดียวกัน
ที่ผ่านมา ทั้งประธานเหมา เจ๋อตุง และนายเติ้ง เสี่ยวผิง ใช้การผ่านมติครั้งประวัติศาสตร์ในการตัดขาดจากอดีต
มติครั้งแรก ซึ่งผ่านการอนุมัติในการประชุมเต็มคณะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปี 1945 ช่วยให้นายเหมา รวบอำนาจเข้าไว้กับตัวเอง เพื่อให้มีอำนาจเต็มในการประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 1949
ตอนที่นายเติ้ง ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในปี 1978 เขาได้เสนอมติครั้งที่ 2 ในปี 1981 ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ "ความผิดพลาด" ของประธานเหมา ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมระหว่างปี 1966 - 1976 ซึ่งทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายล้านคน นายเติ้งยังได้วางรากฐานการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนด้วย
นายนี บรรณาธิการ China Neican ระบุว่า สิ่งที่แตกต่างไปจากมติในอดีตทั้งสองคือ การที่นายสีพยายามเน้นย้ำเรื่องความต่อเนื่องในมติของเขา
มติของประธานาธิบดีสียังมีขึ้นในยุคที่จีนได้ก้าวขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะจินตนาการได้เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน
ดร.ชง จากมหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า จีนยืนอยู่ในจุดที่สามารถมองย้อนกลับไปเห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการได้รับการยอมรับสถานะในฐานะชาติมหาอำนาจของโลก โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และบรรดาผู้นำต่างอยู่ในอำนาจโดยที่ไม่มีฝ่ายค้านในประเทศ
"อาจพูดได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีนายสีเป็นผู้นำได้ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จสำหรับตัวพรรคและสำหรับประเทศจีน"
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การเมืองเป็นเรื่องที่อาจพลิกผันได้ และแม้จะมีหลักฐานมากมายว่านายสีได้กุมอำนาจไว้อย่างเหนียวแน่น แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในอนาคต
"การเมืองระดับชนชั้นนำของจีนเต็มไปด้วยความลับ และมีเรื่องราวอีกมากที่เรายังไม่รู้" นายนีกล่าว
...............
ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ข่าวสด เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว