วิกฤตน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ ฝนถล่ม “หาดใหญ่” จนรับไม่ไหว คาดสถานการณ์คลี่คลายกลางธ.ค.

สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอหาดใหญ่ยังคงตึงเครียด หลังปริมาณฝนครั้งนี้ถูกประเมินว่า “รุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปี” ทำให้ระบบระบายน้ำของพื้นที่ไม่สามารถรองรับได้ ส่งผลให้หลายชุมชนจมอยู่ใต้น้ำต่อเนื่อง แม้ระดับน้ำเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวแล้วก็ตาม
ภาพ: น้ำท่วมสูงบริเวณสนามบินนอก จากเฟซบุ๊ก Weerapong Narongkul
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ปริมาณฝนที่ตกลงมาในพื้นที่อำเภอสะเดาครั้งนี้มีความรุนแรงผิดปกติ โดยพบฝนสะสมตัวเลขสูงถึง 880 มิลลิเมตร ซึ่งเกินขีดความสามารถของคลองระบายน้ำหลักในพื้นที่
คลอง ร.1 รองรับการระบายน้ำได้เพียง 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงไม่เพียงพอกับมวลน้ำจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลลงมา ประกอบกับฝนที่ยังตกต่อเนื่องในหลายอำเภอ ทำให้ระบบคลองต่าง ๆ ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน
ข้อมูลปริมาณฝนล่าสุดระบุว่า ระหว่างวันที่ 24–25 พฤศจิกายน พื้นที่ภาคใต้มีฝนตกหนักสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อำเภอทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี 634 มม., อำเภอรัตภูมิ จ.สงขลา 538 มม., และอำเภอเมืองยะลา 504.8 มม.
ด้านนายธเนศ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน เปิดเผยว่า มวลน้ำจากอำเภอสะเดาได้ไหลเข้าสู่พื้นที่ใจกลางนครหาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ระดับน้ำแตะจุดสูงสุดช่วงบ่ายวันเดียวกัน ก่อนจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ประมาณ ชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม การระบายน้ำออกสู่ทะเลยังประสบปัญหาใหญ่ ได้แก่ น้ำท่วมคลองระบายน้ำหลายสาย คลื่นลมแรง และน้ำทะเลหนุนสูงต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การผลักน้ำออกจากเขตเศรษฐกิจของหาดใหญ่ทำได้ช้ากว่าปกติ
ภาพ: น้ำท่วมสูง จากเฟซบุ๊ก Weerapong Narongkul
นายธเนศระบุว่า หากหลังวันที่ 26 พฤศจิกายนไม่มีฝนตกหนักเพิ่ม โดยเฉพาะในลุ่มน้ำอู่ตะเภา ระดับน้ำในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่จะกลับลงสู่ “ระดับตลิ่ง” ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พร้อมวางแผนติดตั้งเครื่องสูบน้ำทันทีเมื่อน้ำถึงระดับที่สามารถระบายได้ คาดว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายใน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
ส่วนด้านรศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ โพสต์เตือนว่า แม้น้ำต้นทางจากสะเดาจะเริ่มลดลง แต่กำลังไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มตอนล่างอย่างต่อเนื่อง และครั้งนี้มีทั้งปริมาณฝนและระดับน้ำมากกว่าเหตุการณ์ปี 2553 ที่เคยสร้างความเสียหายครั้งใหญ่
ภาพ: น้ำท่วมบริเวณสะพานข้ามคลอง ร.1 ถนนศรีภูตัดใหม่ท่าเคียน จากเฟซบุ๊ก Weerapong Narongkul
รศ.ดร.เสรีระบุว่า ระบบระบายน้ำตามธรรมชาติของคลอง ร.1 และคลองอู่ตะเภาสามารถระบายน้ำได้สูงสุด 155 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งหากระบายได้เต็มกำลังจะต้องใช้เวลาราว 10 วัน แต่สถานการณ์จริงไม่สามารถทำได้เต็มที่ เพราะติด “น้ำทะเลหนุนสูง” ต่อเนื่องจนถึงสิ้นเดือน ทำให้น้ำถูกดันกลับเข้าเมือง ข้อจำกัดนี้ทำให้พื้นที่เศรษฐกิจของหาดใหญ่อาจต้องเผชิญสภาพน้ำท่วมนานถึง กลางเดือนธันวาคม
นายดนุชากล่าวว่า หลังวิกฤติครั้งนี้จำเป็นต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างรับน้ำของเมืองหาดใหญ่ โดยมีแผนสำคัญ ได้แก่ ขุดลอกคลอง ร.1 ให้ลึกกว่าเดิมและ ขยายคลองอู่ตะเภาให้สามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น มาตรการเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญในการรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ จากภาวะฝนสุดขั้ว (Extreme rainfall) ที่มีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
