5 หุ้นแรง! ได้ประโยชน์ ดอกเบี้ยขาลง-บาทแข็ง-มาตรการคนละครึ่ง

ทันหุ้น - บล.เคจีไอ มองตลาดหุ้นน่าจะตอบรับเชิงบวกกับโผ ครม.ใหม่ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 5 กันยายน และได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 กันยายน ซึ่งสื่อหลายสำนักรายงานว่าการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่น่าจะเสร็จในเร็ว ๆ นี้ นายกคนใหม่ประกาศว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพรรคประชาชน โดยจะยุบสภาในกรอบเวลา 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย ฝ่ายวิจัยมองว่ารัฐบาลชุดใหม่น่าจะแถลงนโยบายในช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายน ดังนั้น การยุบสภาจึงน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคม 2569 และ อาจจะจัดเลือกตั้งได้ในเดือนมีนาคน 2569
กระแสข่าวล่าสุดเกี่ยวกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และ มาตรการกระตุ้นการบริโภคดูดี
สื่อในประเทศหลายสำนักรายงานว่านายกอนุทินได้เชิญ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ในขณะที่นาย อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ของ PTT* น่าจะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ฝ่ายวิจัยมองว่านักลงทุนน่าจะตอบรับดีกับสองตำแหน่งดังกล่าว ในขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยยังส่งสัญญาณว่าอาจจะนำนโยบายกระตุ้นอย่าง ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใช้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งมาตรการนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมตอนที่มีการนำมาใช้ในช่วงปี 2563-2565 เพราะช่วยหนุนกำลังซื้อในระยะสั้น และช่วยร้านค้าขนาดเล็ก
นักลงทุนน่าจะมุ่งความสนใจไปที่นโยบายการคลัง และการเงินที่สำคัญ มากกว่าการวิ่งขึ้นของตลาดก่อนการเลือกตั้งตามปกติ เพราะพลวัตรของมุมมองตลาดรอบนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะ การวิ่งขึ้นของตลาดในช่วงก่อนเลือกตั้งมีลักษณะแผ่วลงในการเลือกตั้งครั้งหลังๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง และ จัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งจากการเลือกตั้ง 3 ครั้งล่าสุด ตลาดหุ้นไทยเรียกได้ว่าไม่เกิดการวิ่งขึ้นก่อนการเลือกตั้งเลย แต่ดัชนี SET กลับขยับขึ้นประมาณ 4% ในช่วงหนึ่งเดือนหลังผลการเลือกตั้ง สะท้อนถึงความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ฝ่ายวิจัยมองว่านักลงทุนน่าจะกำหนดกลยุทธ์ตามแนวนโยบายการเงินการคลังที่จะมีการนำมาใช้ ซึ่งได้แก่ การกระตุ้นการบริโภค และ การลดดอกเบี้ย
หุ้นกลุ่มที่ฝ่ายวิจัยชอบ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์, non-bank finance และหุ้นบางตัวในกลุ่มสาธารณูปโภค และผู้บริโภค
เนื่องจากฝ่ายวิจัยมองว่าธีมการลงทุนที่ชัดที่สุดในช่วงที่เหลือของปี 2568 คือ การลดดอกเบี้ยของไทย และต่างประเทศ จึงชอบหุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ และ finance ซึ่งได้แก่ AP, ORI และ SAWAD*
นอกจากนี้ แนะนำให้นักลงทุนเลือกซื้อหุ้นบางตัวในกลุ่ม i) สาธารณูปโภคที่จะได้อานิสงส์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่กำลังลดลง และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น (จากการที่ค่าเงิน USD อ่อนลงเพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ) และ ii) กลุ่มผู้บริโภคที่อาจจะได้อานิสงส์จากการที่รัฐบาลชุดใหม่น่าจะนำมาตรการกระตุ้นอย่างคนละครึ่งกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งในการเก็งกำไรจากประเด็นเหล่านี้ฝ่ายวิจัยเลือก BGRIM* และ CPAXT
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
