SCCพลิกเกมโค้งท้าย เป้าอีบิทดา5.4หมื่นล.

#SCC #ทันหุ้น - SCC มองผลดำเนินงานโค้งท้ายดี มองอีบิทดาปีนี้ 5.4 หมื่นล้านบาท หลังปรับโครงสร้างดำเนินงาน-หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร ลดภาระดอกเบี้ย พร้อมมุ่งขยายฐานธุรกิจเพิ่ม เน้นโครงการผลตอบแทนสูงรีเทิร์นเร็ว เดินหน้าเจาะตลาดเวียดนามเต็มพิกัด หวังอัพพอร์ตต่างประเทศทะลุ 50% มุ่งสินค้าไฮแวลู พร้อมเร่งเครื่องผลิตสินค้ากรีน ด้านโบรกเกอร์ คาดงบโค้งท้ายฟื้น รับดีมานด์ปูนโต-ขายสินทรัพย์
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปี 2568 น่าจะสามารถขึ้นไปแตะที่ราว 5.4 หมื่นล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ทำได้แล้วประมาณ 4.45 หมื่นล้านบาท ประกอบกับมองช่วงที่เหลือภาพรวมจะยังอยู่ในเกณฑ์ ผลมาจากบริษัทมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจและหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร ซึ่งควบคู่ไปกับลดภาระดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมุ่งให้ความสำคัญกับขยายฐานธุรกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอนาคต
@รุกตลาดเวียดนาม
นอกจากนี้ บริษัทมีแนวทางในการหันมามุ่งทำตลาดและขยายฐานในประเทศเวียดนามให้มากขึ้น หลังแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน จึงมองเป็นโอกาสในการสร้างยอดขายและรายได้เพิ่มเติม ซึ่งหากทุกอย่างสำเร็จคงกลายเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนรายได้จากต่างประเทศให้ขยายตัว จากเดิมที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ราว 50%
พร้อมกันนี้ ทาง SCC จะมีการขยายพอร์ตสินค้าและบริการที่มีความคุ้มค่า หรือในกลุ่มสมาร์ทแวลู (SVA) และกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) และกรีนเพิ่มเติมทั้งกลุ่มสินค้างานโครงสร้างและวัสดุตกแต่ง เช่น ปูนงานโครงสร้างและปูนก่อฉาบ “ดูร่าวัน” แข็งแรง ใช้งานง่าย, กระเบื้องหลังคาเซรามิก SCG รุ่น “Celica SRA” สำหรับอาคารศาสนสถานและ งานดีไซน์พิเศษ, พื้นและประตู “UNIX”, งานเหล็กสำหรับโครงผนัง ฝ้า และหลังคา “TOPSTEEL”
รวมถึงแพ็กเกจ บริการมุงหลังคา “SCG Saver Roof Package” หวังตอบสนองความต้องการผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีงานบริการปรับปรุงบ้าน (Home Improvement) จากคิวช่าง อาทิ บริการติดตั้งพื้นไม้ SPC บริการทาสีภายนอก เป็นต้น คาดว่าสินค้ากลุ่มนี้จะได้รับความนิยมสูงใน ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง สนับสนุนภาพรวมธุรกิจอีกทางหนึ่ง
@เร่งผลิตสินค้ากรีน
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทจะมีการเร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products-HVA) อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ ปูนคาร์บอนต่ำ อยู่ระหว่างพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่ Generation 3 ที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 38% โดยเตรียมปรับกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2570 ที่จ.สระบุรี และ CPAC Extra Base Layer นวัตกรรม ซ่อม-สร้างถนนลดการยุบตัวและคงตัวทนนานจากการกัดเซาะน้ำ สะพาน UHPC (Ultra High Performance Concrete) สมรรถนะสูง ลดเวลาก่อสร้างได้ถึง 50% 3D Printing Mortar เทคโนโลยีการขึ้นรูปอาคารก่อสร้างที่มีดีไซน์ซับซ้อน ขยายตลาด ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และมาเลเซีย
รวมถึงยกระดับ Roof Installation บริการมุงหลังคาครบวงจรเอสซีจี ด้วย Drone Al ตรวจรอยรั่วหลังคาและวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 3 มิติ ช่วยให้ซ่อมแซมรวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำยิ่งขึ้น SCG Comfort Tile กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้นรายแรกในไทย ที่ลดความร้อนสะสมได้ 3-7 องศาเซลเซียส ด้วย HeatSync Technology ให้พื้นเย็น เดินสบาย สุขภัณฑ์ไร้ถังประหยัดน้ำ DUACT และแบบ “เคลือบจากเปลือกไข่-หอย” ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นวัตกรรม เม็ดพลาสติกจากเทคโนโลยี SMX ช่วยลดความหนาของผลิตภัณฑ์ลงโดยยังคงความแข็งแรง พัฒนาเป็นสินค้าหลากหลาย เช่น ท่ออุตสาหกรรมเหมืองแร่ขนาดใหญ่ ฝาขวดน้ำอัดลม ถังบรรจุสารเคมี และบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค นวัตกรรม พลาสติกรีไซเคิล ทั้งเทคโนโลยีรีไซเคิลเชิงกล และเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง ซึ่งใช้ผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ Food Grade ปลอดภัย ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทานเพิ่มเติม
“ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลกที่ยังยืดเยื้อ เอสซีจีประเมินว่าความท้าทายจะยังคงต่อเนื่องถึงปีหน้าจากปัจจัย ที่ยังไม่คลี่คลาย เช่น การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายตัว และค่าเงินบาทที่แข็งกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งยังคงกดดันการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย แม้เผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น แต่เรามั่นใจว่า มาตรการที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมานั้นมาถูกทางแล้ว ทั้งการเสริมวินัยทางการเงิน ปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นฐานสำคัญให้เอสซีจียืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง” นายธรรมศักดิ์กล่าว
โบรกชูอนาคตไกล 288 บ.
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์ให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCC ให้ราคาเป้าหมาย 288.00 บาท เพราะคาดผลงานในไตรมาส 4/2568 จะปรับตัวดีขึ้น เพราะมองอุปสงค์ธุรกิจปูนซีเมนต์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทั้งในไทย (โครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ) และ ASEAN นำโดย เวียดนาม (คาดอัตราการเติบโตสูงราว 5-10%) อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ Divest สินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไร/Non-Core ต่อเนื่อง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในในไตรมาส 4/2568 หรือภายในปี 2569 เข้าเสริม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
