G20 เห็นพ้องลดมลพิษอากาศ แต่ยังไร้ทางออกเรื่องขยะและดินเสื่อม แอฟริกาโต้ “โลกขาดผู้นำตัวจริง”

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ตุลาคม) มีการเปิดเผยผลการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ G20 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระดับโลกในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยผลการประชุมครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในสองประเด็นหลัก ได้แก่
1. การปรับปรุงคุณภาพอากาศเพื่อลดมลพิษ
2. การปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชหายาก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอีก 4 เรื่อง ได้แก่ การจัดการขยะ มลพิษทางน้ำ การเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน และการฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม ยังไม่สามารถบรรลุฉันทามติร่วมกันได้ ส่งผลให้ประเทศจากทวีปแอฟริกาแสดงความผิดหวังต่อผลลัพธ์ของการประชุม
นาเรนด์ ซิงห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป่าไม้ ประมง และสิ่งแวดล้อมของแอฟริกาใต้ กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า “ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าภาวะโลกร้อนทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วม ไฟไหม้ และพายุทอร์นาโด ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก รัฐบาลแอฟริกาให้ความสำคัญสูงสุดต่อการปกป้องสุขภาพของชุมชน และเราคาดหวังให้ประเทศมหาอำนาจร่วมรับผิดชอบต่อผลกระทบเหล่านี้ด้วย”
ซิงห์ย้ำว่า หากกลุ่มประเทศ G20 ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกไม่ร่วมมืออย่างจริงจัง ทวีปแอฟริกาจะต้องรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากภัยพิบัติและการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ
ด้าน “ดิออน จอร์จ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป่าไม้ ประมง และสิ่งแวดล้อมของแอฟริกาใต้ เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ “คุณภาพอากาศ” ได้รับการบรรจุในวาระของ G20 และสามารถบรรลุฉันทามติร่วมกันได้อย่างเป็นเอกฉันท์ พร้อมกันนั้น ที่ประชุมยังได้ลงนามใน “ปฏิญญาเคปทาวน์ว่าด้วยอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม” (Cape Town Declaration on Environmental Crime) ซึ่งมุ่งเน้นการปราบปราม การลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชหายาก เช่น แรดและตัวนิ่ม รวมถึงการลักลอบประเภทอื่นที่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพ
ด้าน “เอลิซาเบธ มารูมา เมรมา” ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติและรองผู้อำนวยการบริหารโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขมลพิษทางอากาศ โดยระบุว่า ปัญหานี้ไม่สามารถแยกออกจากมิติอื่นของสังคมได้ “มลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อทุกสิ่ง มันไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมโดยตรง เราจำเป็นต้องมองเห็นความเชื่อมโยงของมันในทุกมิติ เช่นเดียวกับอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมที่บ่อนทำลายความยั่งยืนของโลก” องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตประชาชนทั่วโลกราว 7 ล้านคนต่อปี และก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่าหลายล้านล้านดอลลาร์
ด้าน “เคอเรียโก โทบิโก” ที่ปรึกษาพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของสหภาพแอฟริกา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า การประชุมครั้งนี้ยังไม่สะท้อนความเป็นผู้นำของกลุ่มประเทศ G20 อย่างที่โลกคาดหวัง “กลุ่ม G20 เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นกว่า 80% ของการปล่อยทั้งหมด และครอบครอง GDP โลกกว่า 80% พวกเขามีกำลังและทรัพยากรที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง แต่เรากลับเห็นการขาดความทะเยอทะยาน เราผิดหวัง” โทบิโกกล่าวเสริมว่า หากไม่มีแนวทางร่วมกันที่ชัดเจน โลกจะยังคงเดินหน้าไปในทิศทางที่อันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษยชาติ
หลังการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม G20 ที่เคปทาวน์สิ้นสุดลง ความสนใจทั่วโลกกำลังมุ่งหน้าไปที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) ซึ่งจะจัดขึ้นในประเทศบราซิล รวมถึงการประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ประเทศต่าง ๆ คาดว่าจะใช้สองเวทีนี้เป็นโอกาสในการ ฟื้นความร่วมมือระดับโลกด้านภูมิอากาศ และ กำหนดทิศทางการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมในทศวรรษต่อไป
แม้การประชุม G20 ที่เคปทาวน์จะบรรลุข้อตกลงสำคัญในบางด้าน เช่น มลพิษทางอากาศและการค้ามนุษย์สัตว์ป่า แต่การไม่สามารถสร้างฉันทามติในประเด็นหลักอื่น ๆ เช่น การจัดการขยะและการอนุรักษ์ดิน ยังคงสะท้อนถึง ช่องว่างระหว่างคำมั่นสัญญาและการลงมือทำจริง ในขณะที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนมากขึ้นทุกปี ดังนั้น เสียงเรียกร้องจากแอฟริกาในครั้งนี้จึงเป็นเครื่องเตือนว่า “การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่สามารถทำได้โดยลำพัง แต่ต้องร่วมมือกันทั้งโลก”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
