รีเซต

"เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance"

"เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance"
TNN ช่อง16
19 กันยายน 2568 ( 10:58 )
12

ดร.เศรษฐพุฒิ  สุทธิวาทนฤพุฒิ  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าว สุนทรพจน์งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 หัวข้อ  "เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance" โดยระบุว่า 

ในทศวรรษที่ผ่านมา การเงินดิจิทัล (digital finance) ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะระบบการชำระเงินดิจิทัล หรือที่เราเรียกว่า fast payment ที่ทำให้การทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ จนเปลี่ยนวิถีชีวิตทางการเงินของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจไปอย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของไทยคือ พร้อมเพย์ (PromptPay) ที่ประชากรไทยกว่า 70% ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และปัจจุบันมีการใช้งานกว่า 76 ล้านรายการต่อวัน และมีมูลค่าการโอนเงินเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 144 พันล้านบาท 

ที่สำคัญ พัฒนาการเหล่านี้ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ให้กับแรงงาน ครัวเรือน และธุรกิจน้อยใหญ่ ให้เข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่สามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่ตลาดออนไลน์ผ่านการชำระเงินผ่านระบบ fast payment หรือแรงงานที่สามารถโอนเงินกลับบ้านได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น แต่ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลกและกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของคนไทยในวงกว้าง โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 9.8 หมื่นล้านบาท  ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและนอกภาคการเงินในการเสริมสร้างระบบการจัดการภัยการเงินให้เข้มแข็งและเป็นระบบ มาอย่างต่อเนื่อง

ท่านผู้มีเกียรติครับ แต่การแก้ปัญหาภัยการเงินมีความท้าทายไม่น้อยจะเห็นได้ชัดจากกรณีการจัดการบัญชีม้าล่าสุด ที่เราพบว่าหนึ่งในการดำเนินการเพื่อจัดการภัยการเงินในการต่อเส้นเงินตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (พ.ร.ก.ไซเบอร์)ที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยกักเงินคืนให้ผู้เสียหาย มีผลกระทบต่อผู้สุจริต

ในเส้นเงินมากกว่าคาดเราจึงได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และภาคีที่เกี่ยวข้องเร่งปรับกระบวนการ โดยให้การปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้นไปตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังปรับปรุงกลไกเพื่อลดผลกระทบต่อผู้สุจริตให้ทำได้ภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อช่วยคลายความกังวลของร้านค้า และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล

1.    A framework towards safer and more inclusive digital finance

ภัยการเงินที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ สะท้อนให้เราเห็นถึง trade off ที่มากับการเงินดิจิทัล ที่แม้จะสร้างความสะดวกและโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเงินที่คุกคามประชาชน การจะสร้างสมดุล เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างมั่นใจนั้น เราต้องพัฒนาสามองค์ประกอบหลักควบคู่กัน คือ เทคโนโลยี การกำกับดูแล และข้อมูล

         (1) เทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ และยังมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงจากนวัตกรรมด้วย แต่เพียงเทคโนโลยีอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะสร้างระบบการเงินที่ปลอดภัยและยั่งยืนได้ เราจำเป็นต้องมี

          (2) การกำกับดูแล (Regulatory framework)ที่เหมาะสม เพื่อวางกติกา

และสร้างรั้วป้องกันความเสี่ยง (guardrail) จากเทคโนโลยีและส่งเสริมการเข้าถึง

ไปพร้อม ๆ กัน

           (3)ข้อมูลก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและผลักดันให้การพัฒนาการเงินดิจิทัลตอบโจทย์ผู้ใช้บริการและเติบโตได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน


2. ภัยการเงินในประเทศไทย  โดยเฉพาะการหลอกลวงที่เหยื่อยินยอมโอนเงินเอง (Authorized Push Payment Fraud) กำลังแพร่กระจายรวดเร็วตามการเติบโตของระบบชำระเงินที่รวดเร็ว(fast payment)ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างและความจำเป็นที่เราจะต้องทำให้สามองค์ประกอบนี้ดีขึ้น คือ 

ในด้านเทคโนโลยี:ระบบfast payment ที่ทำให้ธุรกรรมง่าย รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ทุกเวลา และแทบไม่มีค่าใช้จ่าย ได้เอื้อให้เกิดการหลอกลวงที่ยากต่อการจัดการใน 2 มิติหลัก

มิติแรกคือ Scale: ระบบ fast payment ผนวกกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม ที่เชื่อมผู้คนจำนวนมากเข้าหากันง่ายขึ้น ประกอบกับ AI ที่ทำให้กลโกงแนบเนียนขึ้น ส่งผลให้การหลอกลวงเกิดง่าย ขยายวงกว้าง และใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น จากการสำรวจคนไทยกว่า 7,000 ตัวอย่าง  พบว่า 70% เคยถูกชักชวนหรือหลอก และกว่า 30% ได้รับความเสียหาย และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร

มิติที่สองคือ Speed: fast payment เปิดทางให้มิจฉาชีพโอนเงินออกนอกระบบได้เร็ว เงินจึงหายไวและตามได้ยาก โดยข้อมูลชี้ว่า เงินกว่า 50% ถูกโอนออกใน 3 นาที ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ  ทำให้การรับมือของสถาบันการเงินต้องแข่งกับเวลาอย่างยิ่งเทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิผลของการจัดการภัยการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจจับ และจัดการความผิดปกติจากการทำธุรกรรมทางการเงินโดยตัวอย่างของนโยบายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังจะดำเนินการ คือ

    การยกระดับการพัฒนาระบบตรวจจับที่แม่นยำและทันท่วงทีโดยใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และระบบฐานข้อมูลกลางการทุจริตหรือCentral Fraud Registry (CFR)

    การยกระดับระบบ CFR ให้สามารถระงับและต่อเส้นเงินได้รวดเร็วขึ้น 

ผ่านการใช้ Application Programming Interface (API) และระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดเส้นทางเงินของมิจฉาชีพและกักเงินไว้ให้ได้มากที่สุด ในด้านการกำกับดูแลเราจะเห็นได้ว่า ภัยการเงินเกิดได้หลายรูปแบบ หลายช่องทาง และเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนในห่วงโซ่การหลอกลวง (fraud chain)โดยมิจฉาชีพอาศัย “ช่องโหว่” ในห่วงโซ่นี้เพื่อหลอกลวงและปกปิดเส้นทางการเงินดังนั้นการจัดการภัยการเงินจะขาดประสิทธิภาพหาก

(1) ผู้ให้บริการมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เท่ากัน (2) ข้อมูลของภาคส่วนต่าง ๆ ในห่วงโซ่ไม่เชื่อมโยงและไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ (3) การกำกับดูแล และกำหนดอำนาจหน้าที่ยังไม่ครอบคลุมทั้งระบบ และ (4) กฎระเบียบยังไม่เท่าทันปัญหาและโลกดิจิทัล เราจึงต้องให้ความสำคัญกับ 

    การกำหนดมาตรฐานให้ผู้ให้บริการมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ รับมือกับภัยการเงิน

    การกำหนดอำนาจหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ อย่างครอบคลุมและปรับกฎเกณฑ์ให้เท่าทัน

    การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วนโดยตัวอย่างนโยบายสำคัญ เช่น

    การผลักดัน พ.ร.ก.ไซเบอร์เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของทุกภาคส่วนให้ชัดเจนและเท่าทันกับปัญหารวมถึงมีแนวนโยบายในการกำหนดความรับผิดชอบของภาคส่วนต่าง ๆ

    การผลักดันมาตรฐานให้ผู้ให้บริการทางการเงินต้องมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ และรับมือกับภัยการเงินเช่น มาตรฐาน Mobile Banking Security และมาตรการจัดการบัญชีม้าทั้งระบบในด้านข้อมูลภัยการเงินที่มากับระบบ fast payment ทำให้สถาบันการเงินและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายขาดข้อมูลที่ครบถ้วนในการติดตามเส้นทางเงิน เพราะมิจฉาชีพสามารถโอนเงินได้รวดเร็ว ข้ามทั้งสถาบันการเงินและระบบชำระเงินที่ยังไม่เชื่อมโยงกัน อีกทั้งงานวิจัยชี้ว่ามีเพียง 10% ของผู้เสียหายที่แจ้งความ ส่งผลให้สถาบันการเงินไม่อาจแยกผู้สุจริตออกจากผู้ทุจริตได้ชัดเจน และผู้ใช้บริการก็อาจขาดความรู้ความเข้าใจ  จึงตัดสินใจโดยไม่รอบคอบและไม่สามารถปกป้องตนเองได้


ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาข้อมูลในทุกมิติ ผ่านการส่งเสริม

    การแชร์เชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งระบบ รวมถึงการแจ้งความของประชาชน

    การใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างภาคส่วน 

    การเปิดเผยข้อมูล และมีกลไกที่ช่วยให้ประชาชนใช้ข้อมูลในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ

ในด้านนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคี ได้จัดตั้งระบบฐานข้อมูลCentral Fraud Registry เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงิน และขยายความครอบคลุมไปถึงทั้งธนาคาร นอนแบงก์ และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อม ๆ กับการพัฒนาระบบการรับแจ้งความที่สะดวกขึ้นผ่าน AOC 1441อีกด้วย

ที่ผ่านมา มาตรการต่าง ๆ เริ่มเห็นผลเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาต(unauthorized fraud) ในรูปแบบ “แอปดูดเงิน” ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณีในปี 2566 ขณะเดียวกัน เราได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณีโดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2568 แม้เราจะก้าวหน้าไปมาก แต่ความเสี่ยงและภัยการเงินก็จะพัฒนาต่อ ตามการพัฒนาของระบบการเงินเราในฐานะประชาชน สังคม และระบบการเงิน ต้องร่วมมือกันสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อให้สังคมไทยเติบโตไปกับการเงินดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและสมดุล

3.    จุดประสงค์ของงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้

ท่านผู้มีเกียรติครับ ในช่วงเช้าของงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะได้มาเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนถึงทางออกจากปัญหานี้ร่วมกัน ซึ่งประเด็นนี้จะถูกหยิบยกเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมประจำปีของ IMF และ World Bank ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมในปีหน้าด้วยครับ

งานในช่วงบ่ายจะมีการปรับรูปแบบเป็น “Research Talk”เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชนและผู้ทำนโยบายได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการที่ทำวิจัยในประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจการเงินไทยทั้งนี้ก็เพื่อต่อยอดงานวิจัยไปสู่การรับรู้ในวงกว้าง และการกำหนดนโยบายครับ

ท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบคุณคณะผู้วิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้ ผมหวังว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จะไม่เพียงสร้างความตระหนัก แต่ยังจุดประกายให้เราร่วมกันสร้างสมดุล เพื่อการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลที่ตอบโจทย์ ปลอดภัยและเข้าถึงได้โดยคนไทยทุกคน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง