รีเซต

ตลาดรถสะเทือนหนัก "เวียดนาม" ออกกฎใหม่ ห้ามมอเตอร์ไซค์น้ำมันวิ่งในเมือง หวังแก้ปัญหามลพิษ

ตลาดรถสะเทือนหนัก "เวียดนาม" ออกกฎใหม่ ห้ามมอเตอร์ไซค์น้ำมันวิ่งในเมือง หวังแก้ปัญหามลพิษ
TNN ช่อง16
19 กันยายน 2568 ( 08:00 )
7

"เวียดนาม" ประกาศห้ามมอเตอร์ไซค์ทุกคันวิ่งเข้าเมือง เว้นแต่รถพลังงานไฟฟ้า หรือ E bike เท่านั้น หวังแก้ปัญหามลพิษที่กำลังติดอันดับโลก เริ่มใช้มาตรการทันทีตั้งแต่กลางปีหน้านี้


"ฮานอย" เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ปัจจุบันนี้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก  ช่วงต้นปีที่ผ่านมาฮานอยเจอกับวิกฤต มีปัญหาหมอกควันพิษปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ จากข้อมูลของ AirVisual  มีการตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (พีเอ็ม 2.5) สูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึง 15 เท่า  


สาเหตุของปัญหาส่วนหนึ่งมากจากความแออัดของเมืองที่มีประชากรกว่า 8 ล้านคน และผู้คนในพื้นที่ต่างก็นิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์ขับขี่เดินทางเป็นหลัก วิถีชีวิตที่รีบเร่งและวุ่นวาย การจราจรที่ติดขัด รถทุกคันต่างปล่อยควันพิษออกมาจากท่อไอเสีย นอกจากนี้ยังโรงงานในพื้นที่อีกจำนวนมาก พร้อมกับพฤติกรรมการเผาขยะ ทั้่งหมดนี้รวมตัวกันมาซ้ำเติมกลายเป็นหมอกพิษที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง และคนที่รับกรรมก็คือชาวเมืองฮานอย ที่ต้องทนสูดดมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย จนส่งผลร้ายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และซึ่งรายงานขององค์การอนามัยโลกระบุว่ามลพิษเหล่านี้ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 70,000 รายต่อปี 


เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาที่กระทบไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ดังนั้นทางการเวียดนามจึงได้ตื่นตัวเร่งพยายามผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขและบรรเทาผลกระทบ โดยการประกาศผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี ให้มากขึ้นเพื่อลดการปล่อยมลพิษ สำหรับฮานอย ซึ่งเป็นเมืองหลวงได้ตั้งเป้าที่จะให้ใช้รถบัสโดยสารอย่างน้อย 50% และรถแท็กซี่ 100 % เป็นรถพลังงานไฟฟ้าภายใน 5 ปี หลังจากนี้ หรือภายในปีค.ศ.2030  


นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่เร่งผลักดันไปพร้อมๆกัน เช่น การปรับปรุงโรงงานกำจัดขยะ การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อตรวจสอบมลพิษ และการกำหนดบทลงโทษให้เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับผู้ฝ่าฝืน ส่วนผู้แจ้งเบาะแสอาจได้รับรางวัลจากการรายงานการละเมิดสิ่งแวดล้อม

 

อย่างไรก็ตามการจัดการปัญหาควันพิษจากรถ หากจัดการเพียงแค่รถขนส่งสาธารณะอาจจะยังไม่พอ เพราะวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นส่วนใหญ่พึ่งพาการเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก รายงานของเอพีระบุว่าเมืองฮานอยมีรถมอเตอร์ไซค์เกือบ 7 ล้านคัน และรถยนต์อีกมากกว่าหนึ่งล้านคัน


ดังนั้นรัฐบาลเวียดนามจึงได้หันมาใช้นโยบายหนุนการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในภาคประชาชน โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ สื่อท้องถิ่้นของเวียดนามรายงานว่า ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ออกคำสั่งระบุว่านับตั้งแต่กลางปีหน้า หรือเดือนกรกฎาคม ปี 2026 ที่จะถึงนี้ ทางการจะสั่งแบนหรือห้ามรถจักรยานยนต์และสกูตเตอร์ที่ใช้พลังงานน้ำมันวิ่งบนถนนวงแหวนหมายเลข 1 ของเมืองฮานอย ซึ่งเป็นถนนสายหลักความยาวกว่า 7 กิโลเมตร วนรอบใจกลางเมืองและแลนด์มาร์กสำคัญหลายแห่ง  และหลังจากนั้นจะค่อยขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆเป็นระยะๆ เพื่อกันพื้นที่ไม่ให้รถหรือยานพาหนะทุกชนิดที่ใช้น้ำมันวิ่งในเขตเมืองทั้งหมดภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ 


รัฐบาลเวียดนามตั้งความหวังและผลลัพธ์ไว้สูง แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานใหม่ สำหรับประชาชนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในมุมมองของชนชั้นแรงงานและคนที่มีรายได้น้อย เมื่อกฎหมายออกมาบังคับใช้ หมายความว่าพวกเค้าต้องดิ้นรนหาเงินมาซื้อรถคันใหม่ด้วย  ชาวเวียดนามบางส่วนบอกว่าพวกเขาอยากให้สภาพอากาศดีขึ้น แต่การเปลี่ยนรถเป็นอีวีก็เป็นภาระทางการเงินที่หนักเช่นกัน  


รวมไปถึงกลุ่มของคนที่ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก อย่างไรเดอร์ หลายคนมีรายได้น้อยและอาศัยอยู่นอกเมือง แต่วิ่งรถเข้ามารับงาน พึ่งพาการจ้างส่งอาหารและสิ่งของในเมือง และอาจจะไม่มีเงินทุนมาเปลี่ยนรถได้ทันที และเป็นการตัดเส้นทางเลี้ยงชีพในอนาคต  นอกจากนี้แบตเตอรีของรถไฟฟ้าก็ยังไม่ตอบโจทย์สำหรับการวิ่งงานด้วยระยะไกล เพราะไรเดอร์จะต้องเสียเวลาแวะชาร์จไฟบ่อยครั้งกว่าการแวะเติมน้ำมัน และในขณะเดียวกันก็กังวลด้วยว่าสถานีชาร์จสาธารณะยังไม่มีมากพอ 

"ฮอนด้า" เบอร์ 1 ตลาดรถมอเตอร์ไซค์เวียดนาม สะเทือนหนัก เจอกฎหมายใหม่บีบ ไม่ทันตั้งตัว   


แก้มลพิษ กลายเป็นวาระแห่งชาติของเวียดนาม  และทางออกก็คือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ใช้รถอีวี พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก แต่สำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะค่ายรถอย่างฮอนด้า นโยบายนี้ คือ แรงกระแทกครั้งใหญ่  ขณะที่วินฟาสต์ ค่ายรถเจ้าถิ่น ก็ยิ้นหวานได้รับอานิสงส์เต็มๆ 


เพราะที่่ผ่านมาคนเวียดนามใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหลัก และรถยอดฮิตขายดีอันดับหนึ่ง ก็คือ ฮอนด้า ค่ายรถจากญี่ปุ่นวันนี้จึงเจอกับแรงกระแทกครั้งใหญ่ หลังเจอกับนโยบายรักษ์โลกของทางการเวียดนาม ฮอนด้าต้องเร่งวางแผนพร้อมประเมินกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง เพราะสถานการณ์นี่้ไม่งายกระทบห่วงโซ่อุปทานเป็นวงกว้าง


ฮอนด้า (Honda) ผู้นำตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศเวียดนามด้วยส่วนแบ่งตลาดมากถึง 80% ต้องประหลาดใจและไม่ทันตั้งตัวต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกะทันหันนี้ ฮอนด้าได้รับผลกระทบอย่างมากจากนโยบายดังกล่าว แม้ที่ผ่านมาจะมีการเปิดตัว Honda ICON e: ซี่งเป็นสกูตเตอร์ไฟฟ้ากำลังต่ำที่ผู้ไม่มีใบขับขี่ก็สามารถใช้ได้ แต่ก็ยอดขายก็ไม่หวือหวานัก ขายได้เพียงแค่ 600 คันเท่านั้น


นายซายากะ อาราอิ ประธานฮอนด้า เวียดนาม กล่าวว่า ตอนนี้เราจำเป็นต้องประเมินกลยุทธ์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในเวียดนามอีกครั้ง โดยฮอนด้าระบุว่า มีรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเดินทางภายในถนนวงแหวนหมายเลข 1 ประมาณ 1-2 ล้านคันในแต่ละวัน และหลายแสนคันจะเปลี่ยนมาใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า


สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ในเวียดนาม ได้ส่งผลกระทบห่วงโซ่อุปทานเป็นวงกว้าง เนื่องจากฮอนด้ามีซัพพลายเออร์มากกว่า 130 รายในประเทศเวียดนาม เป็นผู้จัดหาชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ที่ผลิตภายในประเทศเกือบ 100% และมีกำลังการผลิตถึง 2.75 ล้านคันกระจายอยู่ในโรงงาน 3 แห่ง ตลอดจนมีตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรองประมาณ 800 รายทั่วเวียดนาม


แม้กระทั่งร้านขายรถมอเตอร์ไซค์มือสองในเมืองฮานอย  ก็ระบุว่า นับตั้งแต่มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ยอดขายสินค้าต่อหน่วยที่ราคาสูงกว่า 10 ล้านดอง (ราว 12,300 บาท) ก็ชะลอตัวลง ลูกค้าที่เคยอยากจะซื้อรถต่างพากันลังเลหรือชะลอการซื้อออกไป เพราะรอดูทิศทางการและกังวลเรื่องการห้ามใช้มอเตอรไซด์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน


แต่ในทิศทางตรงกันข้าม วินฟาสต์ ค่ายรถไฟฟ้าสัญชาติเวียดนามกำลังจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายนี้เต็มๆ  วินฟาสต์ (VinFast) ซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าถิ่น มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์เวียดนาม แซงหน้าโตโยต้าและฮุนได  ขณะที่การผลิตสกูตเตอร์ไฟฟ้าในปีที่แล้ว (2024) ก็ทำยอดขายได้สูงถึง 70,000 คัน  นับเป็นความได้เปรียบของวินฟาสต์ และสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่พยายามส่งเสริมและผลักดันธุรกิจภายในประเทศ


ส่วนในแง่ของผลกระทบต่อประชาชน มีรายงานว่าทางการกรุงฮานอยกำลังพิจารณามาตรการบรรเทาภาระทางการเงิน โดยการแจกเงินอุดหนุนให้คนที่จะเปลี่ยนรถมาใช้อีวี พร้อมเพิ่มการบริการรถประจำทางสาธารณะให้มากขึ้น  รวมถึงการเร่งเดินหน้าติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า 115 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ และผู้ประกอบการที่ลงทุนคาดว่าจะได้รับแรงจูงใจจากภาครัฐ เช่น สิทธิยกเว้นค่าเช่าที่ดิน 5 ปี หากติดตั้งจุดชาร์จเกิน 30% ของพื้นที่จอดรถในโครงการ 


เวียดนามเอาจริงกับเรื่องมลพิษ ไม่ใช่แค่มอเตอร์ไซค์ และรถสาธารณะ แต่ในอนาคตรัฐบาลตั้งเป้าใหญ่ คือ ขอเปลี่ยนรถในเมืองหลวงให้เป็น "รถ EV" 100% ภายในปีอีก 25 ปีนี้ หรือในปี 2050

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง