รีเซต

ศึกแร่หายากจีน-สหรัฐฯ อาเซียนเปลี่ยนเกม ?

ศึกแร่หายากจีน-สหรัฐฯ อาเซียนเปลี่ยนเกม ?
TNN ช่อง16
31 ตุลาคม 2568 ( 10:53 )
6

ความตึงเครียดทางการค้ารอบใหม่ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ลดอุณหภูมิลงสู่ระดับปกติ หลังจากผู้นำของทั้ง 2 ประเทศบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการหารือทวิภาคีที่จัดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่เกาหลีใต้ โดยการหารือระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่เมืองปูซาน นับเป็นการพูดคุยกันต่อหน้าครั้งแรกในรอบ 6 ปี กินเวลานานประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที 

ภายหลังการหารือได้ข้อสรุปว่า ในฝั่งของสหรัฐฯ จะปรับลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลเหลือร้อยละ 10 มีผลในทันที จากเดิมที่เรียกเก็บจากจีนในอัตราร้อยละ 20 เมื่อบวกกับภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ร้อยละ 10 และภาษีที่เรียกเก็บก่อนหน้านั้น จะทำให้ภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากจีนอยู่ที่ร้อยละ 47 ลดลงจากร้อยละ 57 นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเลื่อนการบังคับใช้มาตรการเพิ่มข้อจำกัดต่อบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ในส่วนของจีนก็ยอมเลื่อนมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากรอบล่าสุดที่ประกาศเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ออกไปเป็นเวลา 1 ปี ขณะเดียวกัน จีนก็จะกลับมาสั่งซื้อถั่วเหลืองและสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อีกครั้ง 

สำหรับค่าธรรมเนียมตอบโต้กันและกัน กรณีเรือของแต่ละฝ่ายที่จอดเทียบท่าเรือของอีกประเทศ ก็จะถูกเลื่อนบังคับใช้ออกไปเป็นเวลา 1 ปี รวมถึงผู้นำของทั้ง 2 ประเทศจะเดินทางเยือนอีกฝ่ายในปีหน้า โดยประธานาธิบดีทรัมป์จะเดินทางเยือนจีนในเดือนเมษายนปีหน้า หลังจากนั้นประธานาธิบดีสีจะเดินทางเยือนสหรัฐฯ แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นช่วงเวลาใด นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในประเด็นการค้า พลังงาน และเศรษฐกิจ รวมถึงอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชน

การบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ทำให้จีนกับสหรัฐฯ สงบศึกทางการค้าเป็นการชั่วคราว แต่ความขัดแย้งไม่ได้หายไปทั้งหมด เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายยังมีหลายประเด็นสำคัญที่ค้างคาอยู่ รวมถึงเรื่อง “แร่หายาก” (rare earth) ซึ่งเป็นไพ่ตายของจีนในการต่อกรกับสหรัฐฯ รวมถึงความตึงเครียดรอบล่าสุดที่ร้อนระอุขึ้นจากการที่จีนประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายากเพิ่มเติมเมื่อต้นเดือนตุลาคม หลังจากที่เคยใช้มาตรการลักษณะนี้เมื่อเดือนเมษายน 

ปัจจุบัน จีนควบคุมห่วงโซ่อุปทานแร่หายากส่วนใหญ่ในโลก ซึ่งแร่หายากเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อการผลิตผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึงขีปนาวุธ และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก โดยเฉพาะการนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร และถูกมองว่าเป็นเครื่องมือตอบโต้สหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพาแร่หายากจากจีนอย่างมาก ทั้งนี้ สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า ในระหว่างปี 2563-2566 สหรัฐฯ พึ่งพาจีนในการนำเข้าแร่และโลหะหายากมากถึงร้อยละ 70 ของการนำเข้าทั้งหมด


“โกลด์แมน แซคส์” อ้างอิงข้อมูลจาก USGS ระบุว่า จีนมีสัดส่วนการทำเหมืองแร่หายากคิดเป็นร้อยละ 69 ของทั้งโลก ตามด้วยสหรัฐฯ มีสัดส่วนราวร้อยละ 12, เมียนมาร้อยละ 8, ออสเตรเลียร้อยละ 3 และที่เหลือในโลกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 7 ขณะเดียวกัน จีนมีปริมาณสำรองแร่หายากคิดเป็นร้อยละ 49 ของทั้งโลก ตามด้วยบราซิลร้อยละ 23, อินเดียอยู่ที่ร้อยละ 8, ออสเตรเลียร้อยละ 6, สหรัฐฯ ร้อยละ 2 และส่วนอื่น ๆ ของโลกรวมร้อยละ 12

เมื่อแยกตามปริมาณการผลิตแร่หายาก ในปี 2567 จีนผลิตแร่หายากประมาณ 270,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 69 ของทั้งโลก เพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในเวลา 5 ปี ตามด้วยสหรัฐฯ ที่อยู่ในอันดับ 2 แต่การผลิตทำได้เพียง 45,000 ตัน ตามหลังจีนมากถึง 6 เท่า อันดับ 3 คือ เมียนมา ผลิตได้ราว 31,000 ตัน, ต่อด้วยออสเตรเลีย 13,000 ตัน เท่า ๆ กับอันดับ 5 ไนจีเรีย และอันดับ 6 ไทย สำหรับอันดับ 7-9 ได้แก่ อินเดีย 2,900 ตัน, รัสเซีย 2,500 ตัน, มาดากัสการ์ 2,000 ตัน, อันดับ 10 คือ เวียดนาม    300 ตัน และมาเลเซีย 130 ตัน

ข้อมูลจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า จีนมีสัดส่วนการแปรรูปแร่หายากคิดเป็นร้อยละ 92 ของทั้งหมด และมีสัดส่วนในการผลิตแม่เหล็กจากแร่หายากมากถึงร้อยละ 98 ของทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ทั้งการสกัดและการแปรรูปแร่หายากก็มีค่าใช้จ่ายสูงและก่อให้เกิดมลพิษตามมา หลายประเทศจึงไม่เดินหน้าผลิตแร่หายาก อย่างกรณีสหรัฐฯ ที่เคยเป็นผู้ผลิตชั้นนำของโลกในช่วงทศวรรษ 1960-1980 ก็ล้มเลิกความตั้งใจจากปัญหามลพิษและนำเข้าจากจีนที่มีราคาถูกกว่า ในขณะที่จีนกว่าจะควบคุมห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลกก็ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากนโยบายและการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ 


จีนยังมีปริมาณสำรองแร่หายากมากที่สุดในโลก USGS ประเมินว่า ปริมาณสำรองแร่หายากของจีนอยู่ที่ 44 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปริมาณสำรองทั้งหมดของโลกที่มีอยู่ราว 120 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับอันดับ 2 อย่างบราซิลที่มีปริมาณสำรอง 21 ล้านตัน ส่วนสหรัฐฯ มีปริมาณสำรองแร่หายากอยู่ในอันดับ 7 อยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านตัน ทั้งยังมีศักยภาพในการสกัดและแปรรูปน้อยมาก 

อย่างไรก็ตาม อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเกี่ยวกับแร่หายาก ก่อนหน้านี้ สื่อมาเลเซีย อาทิ เบอร์นามา รายงานว่า อาเซียนน่าจะมีปริมาณสำรองแร่หายากรวมกันราว 40-45 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณสำรองของจีนที่ 44 ล้านตัน 

บทบาทของอาเซียนในสมรภูมิแร่หายากโดดเด่นขึ้น หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศความร่วมมือกับหลายชาติในอาเซียน นอกเหนือจากผนึกความร่วมมือกับญี่ปุ่นและออสเตรเลีย เพื่อลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน โดยสหรัฐฯ ร่วมมือกับทั้งมาเลเซียและไทย โดยมาเลเซียมีแหล่งแร่หายากประมาณ 16.1 ล้านตัน แต่ยังขาดแคลนเทคโนโลยีการทำเหมืองและการแปรรูป ส่วนไทยเป็นผู้ผลิตแร่หายากอันดับ 6 ไทยและสหรัฐฯ ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมมือในการสำรวจ พัฒนา แปรรูป และใช้ประโยชน์จากแร่สำคัญ 

ภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มที่ดีในแง่ธรณีวิทยา คาดกันว่าเวียดนามน่าจะมีปริมาณสำรองแร่หายากมากถึง 3.5 ล้านตัน ขณะที่มาเลเซีย ไทย และเมียนมา มีปริมาณสำรองน้อยกว่า แต่ก็มีนัยสำคัญ อินโดนีเซียที่ขึ้นชื่อในฐานะแหล่งผลิตนิกเกิลและดีบุกชั้นนำของโลก ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญ แต่หากอาเซียนไม่มีการบูรณาการและร่วมมือกัน ก็จะเป็นได้แค่ผู้จัดหาแร่ดิบ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ อาจทำเงินได้มากกว่าจากการแปรรูปและการผลิตที่มีมูลค่าสูง

ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และอาเซียนถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมบนกระดาน โดยนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ในระยะกลางอาจมีทางเลือกอื่น ๆ เพิ่มเติมในตลาด แต่ในระยะสั้นทั่วโลกยังต้องพึ่งพาแร่หายากจากจีน ด้าน “โกลด์แมน แซคส์” ประเมินว่า การสร้างเหมืองแร่หายากแห่งใหม่มักจะใช้เวลาพัฒนานานถึง 1 ทศวรรษ ซึ่งแร่บางชนิดก็หาได้ยากมากนอกเหนือจากจีนและเมียนมา ขณะที่การสร้างโรงงานแปรรูปจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี 

แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความพยายามที่จะสร้างความหลากหลายและสร้างโรงงานผลิตแร่หายากในประเทศย่อมหมายถึงต้นทุนที่สูง ทั้งการจ้างงานและต้นทุนพลังงาน รวมถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง