KSLพ้นจุดต่ำยอดขายฟื้นQ2 กำแพงภาษีไม่ห่วงเน้นเอเชีย

#KSL #ทันหุ้น – KSL ชี้แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1 ยังถูกกดดันจากการส่งน้ำเชื่อมไปยังประเทศจีน ทำให้ยอดขายกระจายไปยังไตรมาส 1-2 แต่ในภาพรวมทั้งปีมั่นใจยังเติบโตขึ้น โดยคาดการณ์ปริมาณผลผลิตอ้อยในประเทศที่ 95 – 100 ล้านตันอ้อย ทิศทางราคาน้ำตาลโลกยังสูงขึ้นในกรอบ 19 – 22 เซ็นต์ต่อปอนด์ ประเมินการขึ้นกำแพงของสหรัฐ ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจน้ำตาล
นายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL เปิดเผยว่า ทิศทางผลประกอบการในไตรมาส 1 รอบปีการผลิต 2567/2568 (วันที่ 1 พ.ย. 2566 ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2567) ได้รับผลกระทบจากประเทศจีนติดปัญหาการนำเข้าน้ำเชื่อม (Liquid Sugar) จากประเทศไทย ทำให้ยอดขายของบริษัทลดลง อย่างไรก็ตามยอดขายจะถูกกระจายไปยังไตรมาส 2-3 มากขึ้น มั่นใจภาพรวมทั้งปียังเติบโตขึ้น
@ปริมาณผลิตอ้อยเพิ่ม
ผลการดำเนินงานในปีการผลิต 2567/2568 (วันที่ 1 พ.ย. 2567 ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2568) คาดการณ์ปริมาณผลผลิตอ้อยในประเทศที่ 95 – 100 ล้านตันอ้อย เพิ่มขึ้นราว 15 – 22% จาก 82 ล้านตัน เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับมีก่อน ขณะที่ปีการผลิตนี้ตั้งเป้ามีกำลังการผลิต 148,000 ตันต่อวัน มีปริมาณอ้อยเข้าหีบในโรงงาน 6.5 ล้านตันอ้อยต่อวัน เก็บเกี่ยวไปแล้ว 62% ผลิตเป็นน้ำตาลอยู่ที่ 690,000-740,000 ตัน เป็นกากน้ำตาล 260,000-290,000 ตัน
ในส่วนธุรกิจน้ำตาลต่างประเทศมีกำลังการผลิต 3,000 ตันต่อวัน มีปริมาณอ้อยเข้าหีบในโรงงานปริมาณอ้อยเข้าหีบในโรงงาน 198,500 ตันอ้อยต่อวัน ผลิตเป็นน้ำตาลอยู่ที่ 24,000-27,000 ตัน เป็นกากน้ำตาล 7,000-8,000 ตัน ด้านธุรกิจพลังงาน มีกำลังการผลิต 52 MW/h พร้อมเตรียมจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ COD ให้บุคคลภายนอก 400,000-500,000 MW
อย่างไรก็ดีได้วางงบลงทุนไว้ประมาณ 400 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการดูแลเครื่องจักร รวมถึงงานโปรเจ็กต์เดิมที่มีความต่อเนื่องกันมา ซึ่งจะมีการชำระในปีนี้บางส่วน โดยเป็นงบที่วางไว้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว
@ราคาน้ำตาลสูงขึ้น
ทั้งนี้ราคาน้ำตาลโลกจากสภาพอากาศที่เอื้อหนุนต่อการปลูกอ้อยทำให้คาดว่า ปีการผลิต 2568/2569 (วันที่ 1 พ.ย. 2568 ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2569) ตัวเลขการผลิตจะเกินดุลอยู่ 3% ดีต่อการบริโภคที่เพิ่มขึ้น 1% คาดการณ์ราคาน้ำตาลตลาดโลกมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 19 – 22 เซ็นต์ต่อปอนด์ จากภาวะฝนในประเทศบราซิลที่ต่ำกว่าคาด ทำให้มีซัพพลายน้ำตาลออกมาน้อยลงเป็นปัจจัยหนุน ขณะที่ยังมีปัจจัยกดดันจากฝั่งของอินเดียที่ซัพพลายมีการส่งออกน้ำตาลสู่ตลาดโลกมากขึ้น
ในส่วนการขึ้นกำแพงภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทมาก เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าหลักจะอยู่ในฝั่งเอเชีย มากกว่าฝั่งสหรัฐ และยุโรป ซึ่งสหรัฐจำกัดจำนวนอยู่ที่ 10,000-20,000 ตัน แต่จะได้รับผลกระทบในส่วนของค่าเงินมากกว่า โดยทิศทางค่าเงินบาทไทยในปีนี้ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ช่วยในเรื่องของการส่งออกน้ำตาล
@รายได้อุตสาหกรรมโต
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เปิดเผยว่า ได้คาดรายได้ของอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวดี โดยมีปัจจัยหนุนจากปริมาณผลผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งช่วยหักล้างผลของราคาที่มีแนวโน้มลดลง ปริมาณผลผลิตน้ำตาลไทยในปีการผลิต 2567/2568 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.5% มาอยู่ที่ 10.6 ล้านตัน ตามปริมาณอ้อยเข้าหีบที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 96.7 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลจากผลผลิตต่อไร่และพื้นที่เพาะปลูกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย
ในขณะที่ราคาส่งออก น้ำตาลโดยเฉลี่ยในปี 2568 จะปรับตัวลดลง 2.8% YoY มาอยู่ที่ 561.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สอดคล้องกับราคาน้ำตาลทรายดิบรวมพรีเมียมที่บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยทำได้ (ใช้อ้างอิงราคาส่งออกของโรงงานน้ำตาลอื่นๆ) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 3.1% จากฤดูกาลการผลิตที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 23 เซ็นต์ต่อปอนด์
เนื่องจากตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 เป็นต้นไป ราคาน้ำตาลโลกจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงกลางปี 2567 จากภาวะขาดดุลของน้ำตาลในตลาดโลก แต่ระดับราคาจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาน้ำตาลโลกในช่วงปลายปี 2566 และต้นปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำราคาน้ำตาลของฤดูกาลการผลิต 2566/2567