ปลัดแม่ริม เรียกสอบ "โตโน่ ภาคิน" ปมแนะนำ "ฌอน" เปิดบัญชีส่วนตัวรับบริจาค
ปลัดแม่ริม เรียกสอบ “โตโน่ ภาคิน” ปมแนะนำ “ฌอน” เปิดบัญชีส่วนตัวรับบริจาค
เรียก “โตโน่”แจงกรณีแนะนำ “ฌอน” เปิดบัญชีส่วนตัวรับบริจาค ขอชี้แจงด้วยตนเองใน 7 วัน สภ.ปากเกร็ด ทำหนังสือ
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 13 กรกฎาคม 2563 ที่ศูนย์ดำรงธรรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอแม่ริม ในฐานะประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย เผยคืบหน้าคดีนายฌอน บูรณะหิรัญ
ไล์ฟโค้ชชื่อดัง ที่เปิดรับบริจาคช่วยเหลือจิตอาสาดับไฟป่าดอยสุเทพ ว่าได้ทำหนังสือถึงนายภาคิน คำวิลัยศักดิ์ หรือโตโน่ นักร้องและนักแสดงชื่อดัง เพื่อมาให้ปากคำ กรณีโตโน่ ได้แนะนำให้นายฌอน เปิดบัญชีส่วนตัวรับบริจาคดังกล่าวทางเฟชบุ๊ค พร้อมโอนเงินเข้าบัญชีนายฌอน จำนวน 100,000 บาท เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นเงินบริจาคที่มากที่สุด จากผู้บริจาค 5,960 ราย โดยขอความร่วมมือให้มาชี้แจงด้วยตนเองภายใน 7 วัน นับจากวันที่ส่งหนังสือดังกล่าว เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสำนวนคดีดังกล่าว
“ประเด็นเรียกสอบ โตโน่ เพราะเกี่ยวพันกับนายฌอน ถึงการเปิดรับริจาคดังกล่าว ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร เนื่องจากมีการโพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ค ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และบางรายได้บริจาคเงินเข้าบัญชีนายฌอนจึงต้องดูว่าบัญชีดังกล่าว นำเงินผู้บริจาคไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่อย่างไร ที่ผ่านมา สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ได้เรียกโตโน่ ไปสอบปากคำเรื่องดังกล่าวแล้ว เพื่อประกอบสำนวนคดีเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีผู้เสียหายหลายรายได้แจ้งความดำเนินคดีแล้ว” นายบุญญฤทธิ์ กล่าว
นายบุญญฤทธิ์ กล่าวอีกว่า คดีนายฌอน เป็นเรื่องขอรับบริจาค แต่ไม่ได้นำเงินบริจาคช่วยเหลือจิตอาสาดับไฟป่าอย่างใด ซึ่งอำเภอไม่มีผู้เสียหายโดยตรง แต่เหตุขอรับบริจาคเกิดในพื้นที่ อ.แม่ริม ซึ่งทาง สภ.ปากเกร็ด มีหนังสือถึงอำเภอ เพื่อขอทราบกรณีนายฌอน ได้ขอบริจาค หรือเรี่ยไรในพื้นที่หรือไม่ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม หรือ 5 วันที่ผ่านมา เพื่อประกอบสำนวนคดีอีกทางหนึ่ง ซึ่งต้องสอบปากคำนายฌอน และโตโน่ ให้แล้วเสร็จ ก่อนทำหนังสือแจ้งไปยัง สภ.ปากเกร็ด รับทราบ ตามขั้นตอนกฎหมาย
“ประเด็นการเปิดรับบริจาค ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม มีผู้บริจาคกว่า 1.3 ล้านบาท และมีผู้บริจาคเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึง 12 มิถุนายน ระหว่างนั้นายฌอนได้ถอนเงินใช้ส่วนตัว โอนเข้าบัญชีส่วนตัว และให้บริษัทแห่งหนี่ง เป็นเงิน1.2 ล้านบาท เหลือเงินแสนกว่าบาท ต่อมาได้ปิดบัญชีดังกล่าว เพื่อถอนเงินทั้งหมด เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม หรือ 11 วันที่ผ่านมา จึงเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย ว่าการปิดบัญชีดังกล่าวมีเจตนาอย่างไร” นายบุญญฤทธิ์ กล่าว
นายบุญญฤทธิ์ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้นายฌอน ยังไม่ได้ติดต่อเพื่อมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวอย่างใด มีเพียงผู้ประสานงานติดต่อมาเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าจะเข้ามาชี้แจง ที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเมื่อใด แต่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้มาชี้แจงตลอดเวลา เพื่อให้ความเป็นธรรม หากชี้แจงได้เรื่องก็จบเพราะการเรี่ยไรที่ไม่ได้ขออนุญาต ตามพระราชบัญญัติเรี่ยไร พ.ศ. 2487มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ
“ยืนยันคดีดังกล่าว ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้เร่งรัด หรือมีอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนคดี ให้ได้ข้อยุติเสียก่อน ก่อนแจ้งความดำเนินคดี ดังนั้นสำนวนคดีต้องละเอียด
รอบคอบ ถ้ามีช่องโหว่อาจถูกฟ้องกลับได้ หากผู้ถูกกล่าวมาให้ปากคำและปฏิเสธข้อหาดังกล่าว ก็เป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา สุดท้ายต้องสรุปสำนวนคดี เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชา พิจารณาสั่งการต่อไป” นายบุญญ
ฤทธิ์ กล่าวตอนท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนายบุญญฤทธิ์ แถลงข่าวกับสื่อมวลชน ได้มีโทรศัพท์จากผู้ใหญ่คนหนึ่ง (ไม่ทราบชื่อ) โทรมาให้คำแนะนำกับนายบุญญฤทธิ์ ว่า ให้ดำเนินคดีกับนายฌอน ฐานไม่มีใบอนุญาตเรี่ยไรดัง
กล่าว เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานทางสังคม พร้อมแสดงความเป็นห่วง ซึ่งนายบุญญฤทธิ์ ได้กล่าวขอบคุณ โดยพูดว่า “ผู้ใหญ่ที่แนะนำกลัว ผมจะเหนื่อยเกินไป” และไม่อยากให้ผมสัมภาษณ์สื่อมากเกินไป อาจถูกฟ้องกลับ ฐานหมิ่นประมาทได้ ซึ่งใช้เวลาพูดคุยกว่า 10 นาที ก่อนวางสายไป