รีเซต

“ภาษีทองคำ” เสียงแตก พยุงค่าเงิน หรือ ซ้ำเติมอุตสาหกรรม

“ภาษีทองคำ” เสียงแตก พยุงค่าเงิน หรือ ซ้ำเติมอุตสาหกรรม
TNN ช่อง16
23 กันยายน 2568 ( 09:20 )
9

จากแนวคิดเรื่องของการจัดเก็บ “ภาษีทองคำ” ทำให้แฟนคลับ และนักลงทุนทองคำต่าง “ไม่ถูกใจสิ่งนี้” โดยเฉพาะเสียงจากฟากฝั่งของทั้งภาครัฐ และเอกชนบางส่วนที่มองว่า การส่งออกทองคำเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่างเงินบาทแข็งค่า แล้วการเก็บภาษีทองคำ จะสามารถแก้ปัญหา หรือว่าซ้ำเติมอุตสาหกรรม

ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร เพราะเมื่อเราดูจากตัวเลขแล้ว โลหะมีค่ากำลังเปล่งประกายระยิบระยับ ราคาทองคำพุ่งขึ้นมากกว่า 40% ในปีนี้ แซงหน้าดัชนี S&P 500 ที่พุ่งขึ้น 10% อย่างมาก หรือแม้แต่บิตคอยน์ ที่สามารถสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มีราคาที่เพิ่มขึ้นเพียง 20% เท่านั้น ทองคำจึงโดดเด่นกว่าทุกสินทรัพย์ โดยไม่มีข้อสงสัย

ถึงแม้ว่าตลาดหุ้น และกระแสขาขึ้นของตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ ๆ ทั่วโลก ยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น แต่สิ่งเหล่านี้เองกลับสะท้อนถึงความกังวลของ “คนอีกฝั่งหนึ่ง” ของตลาดที่มีต่อหุ้น ว่าราคานั้นร้อนแรงเกินไป เข้าข่าย “ฟองสบู่” ทำให้เกิดการสะสมทองคำที่เพิ่มขึ้น ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ที่กำลังบอกว่า “หุ้นขึ้น แต่ไม่น่าไว้ใจ”

โดยปกติที่ผ่านมา ปัจจัยหลายประการที่หนุนราคาทองคำ อาจถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อสินทรัพย์อื่น ๆ ที่กำลังจะลดมูลค่าลง หรือเกิดความวุ่นวายทางการเงิน ซึ่งโดยปกติแล้ว ประชาชน รัฐบาล และสถาบันต่างๆ จะไม่หาที่หลบภัย หรือเทเงินไปกับทองคำ เมื่อสถานการณ์การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น กำลังไปได้สวย และราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นั่นอาจจะเป็นคำตอบได้ว่า จุดสูงสุดของราคาทองคำสินทรัพย์ที่ใช้เป็นแหล่งหลบภัยมาหลายพันปี ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลเดียวกับราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของหุ้นเทคโนโลยี และการยอมรับแนวโน้มขาขึ้นโดยรวมในตลาดหุ้น แต่กลับสะท้อนว่าตลาดหุ้นกำลังเดินหน้าเข้าสู่ความเสี่ยงมากแค่ไหน

ความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด กำลังจะกลายเป็น “ยาแรง” ที่มีฤทธิ์เฉียบพลันในการบรรเทาตลาดแรงงานที่กำลังซบเซาอย่างหนัก รวมถึงเป็นยากระตุ้นชั้นดีที่ทำให้ตลาดคึกคักขึ้น การรายงานอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น มาพร้อมกับข่าวดีคือการลดดอัตราดอกเบี้ยที่หลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ มักจะหมายถึงราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นสวนทาง เนื่องจากสินทรัพย์ปลอดภัย จะมีต้นทุนการถือครองที่ลดลง มีความน่าสนใจมากกว่าการลงทุนแบบ “ไร้ความเสี่ยง” หรือ Risk Free Rate ต่าง ๆ เช่นพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น

และหากเรามองย้อนกลับไปถึง “การเมืองโลก” ที่สั่นคลอนภาพรวมเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความตึงเครียดครั้งใหม่ระหว่างหลายรัฐบาลทั่วโลก บวกกับนโยบาย “ภาษีทรัมป์” ที่ได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการค้าโลก ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีให้กับนักลงทุน ในการป้องกันความเสี่ยงจากสินทรัพย์ของสหรัฐฯ

จากการวิเคราะห์ของ Morgan Stanley พบว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดฉากครึ่งแรกของปี 2568 ด้วยการ "อ่อนค่า” ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2516 หรือมากกว่า 50 ปี และแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะยังคงดำเนินต่อไป ทองคำจึงมีความโดดเด่นอย่างชัดเจนในฐานะเครื่องมือในการป้องกันเงินเฟ้อ และการลดลงของค่าเงิน

โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเกือบ 10% นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวกลับยืนอยู่ในระดับที่สูง และถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามคาดการณ์หลังจากนี้ ทั่วโลกก็ยังคงมีคำถาม และความไม่เชื่อมั่นต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์อย่างทองคำ ที่ดูแล้วจะมีทิศทางที่สดใสกว่า

ผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน การคลังทั่วโลก ได้แสดงบทบาทที่ชัดเจนต่อทองคำ เนื่องจากธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยการถือครองทองคำของธนาคารกลางต่างชาติมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996 ตามการรายงานของ Bloomberg

และที่สำคัญการสร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ของรัฐบาลสหรัฐ ก็ยิ่งจะทำให้ราคาทองคำน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากปัญหาความน่าเชื่อถือเหล่านี้ยังไม่จบลงง่าย ๆ ซึ่งล่าสุด นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ระบุว่า ราคาทองคำอาจพุ่งสูงแตะ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ภายในปี 2569 หากความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ ถูกคุกคาม และนักลงทุนเปลี่ยนจากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไปเป็นทองคำเพิ่มขึ้น

ขณะที่สถานการณ์ และทิศทางความต้องการทองคำในประเทศไทยปีนี้ ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีความต้องการทองคำของไทยเพื่อการบริโภคสูงถึง 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปี 2567 ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคของไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก และอันดับที่ 4 ของเอเชีย

และที่สำคัญประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี 2564-2567 ขณะที่ปีนี้ภาพรวมครึ่งปีแรกความต้องการทองคำเพื่อบริโภคของไทยอยู่ที่ 20.7 ตัน เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคาดการณ์ว่าทิศทางการเติบโตของไทยปีนี้ทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าปี 2567 แน่นอน โดยเฉพาะความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน เนื่องจากทิศทางราคาปีนี้ยังมีแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน แม้ว่าล่าสุดจะทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง

โดยจากการสำรวจล่าสุดของ วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่านักลงทุนไทย 100% มีจำนวน 97% ที่ลงทุนในทองคำ ในกลุ่มนี้มี 20% ที่เข้ามาลงทุนทองคำโดยที่ไม่เคยซื้อมาก่อน และมี 77% ที่ลงทุนโดยเคยซื้อทองคำมาแล้ว ขณะเดียวกันมีเพียง 3% เท่านั้นที่ไม่คิดลงทุน และซื้อทองคำ

ปัจจัยความเสี่ยงหลาย ๆ อย่างทั้งเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ทองคำ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลาง นักลงทุนสถาบัน ตลอดจนนักลงทุนรายย่อย พร้อมที่จะถือครองทองคำ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ก็คงเป็นภาพสะท้อนได้ว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับหนึ่ง ที่ยังไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้ในปัจจุบัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง