‘ลีฟคลีน’เปิดตัวซีทัช แผ่นป้องกันเชื้อโควิดบริเวณจุดสัมผัสร่วม ตั้งเป้าขายปีแรก 300 ล้าน

นายวิษณุ จินตนาศิริกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีฟคลีน เทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในกลุ่มสตาร์ตอัพที่มีความชำนาญด้านการผลิตนวัตกรรมเกี่ยวกับการฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย อาทิ เครื่องฆ่าเชื้อ ยูวีซี และกล่องขนส่งอาหารปลอดเชื้อส่งออกไปยังหลายประเทศ ล่าสุดบริษัทร่วมกับบริษัทในประเทศเกาหลี คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซีทัช (Z-Touch) นวัตกรรมแผ่นป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 บริเวณจุดสัมผัสร่วม เพื่อลดการแพร่เชื้อจากการสัมผัสต่อ ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด และเริ่มมีการส่งออกไปยังหลายประเทศ
โดยมีจุดเด่นและคุณสมบัติที่สามารถป้องกันและฆ่าเชื้อได้ทั้งเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา รวมถึงเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สูงถึง 99.99% (ประสิทธิภาพฆ่าเชื้อได้เร็วกว่าแผ่นทองแดงถึง 240 เท่า) ด้วยหลักการทำงานของแผ่นซีทัช เมื่อมีเชื้อโรคตกลงบนแผ่น ซีทัช เชื้อโรคจะถูกดูดลงสู่ชั้นล่างทันทีด้วยเทคโนโลยี ไมโครพอรัสเลเยอร์ (ได้จดสิทธิบัตรนวัตกรรมเป็นเจ้าแรกของโลก) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนหลุมดำ ทำให้พื้นผิวของแผ่นซีทัชสะอาดตลอดเวลา หลังจากนั้นส่วนประกอบของ สมาร์ทนาโนไอออน จะทำปฏิกิริยากับแอคทีฟอ๊อกซิเจน เพื่อเข้าไปทำลายผนังเซลล์และโปรตีนของเชื้อโรคจากด้านใน ทำให้เชื้อโรคสูญเสียอาหารและน้ำ โครงสร้างของเชื้อโรคจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในระดับอาร์เอ็นเอ (RNA) และดีเอ็นเอ
ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มทำตลาดไปยังลูกค้าโครงการไปเมื่อเดือนธ.ค. 2563 ปัจจุบันได้ลูกอาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ ฟู้ดแลนด์ โรงแรมดีวารี ทรูช้อป รวมถึงเตรียมที่จะติดตั้งในโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง โดยแผ่น ซีทัช จะถูกนำไปติดตั้งบริเวณที่มีการสัมผัสร่วมกันบ่อยครั้ง อาทิ ที่ผลักประตู ที่จับประตู ปุ่มกดลิฟต์ โต๊ะห้องประชุม ที่จับรถเข็น ฯลฯ
ล่าสุดได้ขยายสู่ตลาดผู้บริโภค โดยมีบริษัท มาซูม่า จำกัด (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มวางจำหน่ายตามร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศแล้ว ประกอบด้วย แผ่นฆ่าเชื้อสำหรับติดมือถือ แผ่นฆ่าเชื้อสำหรับติดประตู แผ่นฆ่าเชื้อสำหรับติดเคาน์เตอร์ และแผ่นฆ่าเชื้อแบบอเนกประสงค์ สำหรับตัดใช้ตามจุดสัมผัสร่วมทั้งหมด ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายยอดขายทั้งในและต่างประเทศในปีแรกไว้ที่ 300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ค้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไอที เพื่อเตรียมขยายตลาดต่อไป และหากการเจรจาสำเร็จคาดว่าจะทำให้ยอดขายในปีนี้ขยับขึ้นเป็น 500 ล้านบาท