"Nike" ประกาศขึ้นราคาสินค้า พร้อมขายผ่าน "Amazon" รอบ 6 ปี l การตลาดเงินล้าน

บริษัท Nike ผู้ผลิตรองเท้าและเครื่องแต่งกายกีฬารายใหญ่ของโลก ประกาศเตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าบางรายการ เริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันว่าจะกลับมาจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม Amazon ในสหรัฐอเมริกา อีกครั้ง หลังยุติความร่วมมือไปตั้งแต่ปี 2019 หรือในรอบ 6 ปี 

ตามข้อมูลที่เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา Nike ระบุว่า จะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าประเภทเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับผู้ใหญ่ในช่วงระหว่าง 2 ถึง 10 ดอลลาร์ โดยสินค้าที่มีราคาตั้งแต่ 100 ถึง 150 ดอลลาร์ จะมีการเพิ่มขึ้นอีก 5 ดอลลาร์ ขณะที่สินค้าราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงกว่า 150 ดอลลาร์ เช่นรองเท้ารุ่น Air Force 1 ที่จำหน่ายในราคา 155 ดอลลาร์ จะไม่ถูกปรับขึ้นราคาในรอบนี้

Nike ชี้แจงว่า การปรับราคาในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประเมินและวางแผนตามฤดูกาล โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อสินค้าสำหรับเด็ก เนื่องจากอยู่ในช่วงเตรียมเปิดเทอมซึ่งมีความสำคัญต่อผู้บริโภค

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินค้ากีฬา โดย Nike กำลังพยายามฟื้นฟูยอดขายและส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งที่เกิดใหม่และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ นายเอลเลียต ฮิลล์

การหวนกลับมาจำหน่ายสินค้าบน Amazon ยังถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางทางธุรกิจที่สำคัญอีกครั้ง หลังจาก Nike ตัดสินใจยุติการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวเมื่อ 6 ปีก่อน เพื่อเน้นการขายผ่านช่องทางของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือร้านค้าปลีกของแบรนด์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Nike ได้ปรับกลยุทธ์ โดยลงทุนในตลาดค้าปลีกแบบหลายช่องทาง และเริ่มจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้ารายใหญ่แห่งใหม่ เช่น ห้างสรรพสินค้า Printemps ในยุโรป

ปัจจุบัน สินค้าของ Nike บน Amazon ส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลาง (third-party sellers) แต่มีรายงานจากสื่อ The Information ว่า Amazon ได้ส่งข้อความถึงพ่อค้าบางราย แจ้งว่าจะมีการยุติการขายสินค้าบางรายการของ Nike ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม เนื่องจาก Nike จะกลับมาทำการขายโดยตรงผ่าน Amazon อีกครั้ง ซึ่งทาง Amazon ระบุว่าได้ให้เวลาผู้ขายที่ได้รับผลกระทบในการระบายสินค้าคงเหลือก่อนถึงวันหยุดจำหน่าย

การกลับมาของ Nike บน Amazon นับเป็นความพยายามในการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างอีกครั้ง โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งยังคงเป็นตลาดที่ทำรายได้สูงสุดของบริษัทตามรายงานล่าสุดในปี 2024

ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Puma ก็ได้ออกมาระบุเมื่อต้นเดือนนี้ว่าได้ลดปริมาณการส่งออกสินค้าจากจีนมายังสหรัฐฯ และอาจพิจารณาปรับราคาขึ้นเช่นกัน เนื่องจากแรงกดดันจากภาษีนำเข้า

จากภาพรวมข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ในกลยุทธ์ของแบรนด์กีฬาระดับโลกที่ต้องปรับตัวทั้งด้านราคา ช่องทางจัดจำหน่าย และรูปแบบการเข้าถึงลูกค้า เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว