รีเซต

หนุ่มเล่าเรื่องระหว่างหายตัว 5 วัน 4 คืน เจอคนตัวดำขู่ให้เดินตาม ชาวบ้านเชื่อเป็นอาถรรพ์

หนุ่มเล่าเรื่องระหว่างหายตัว 5 วัน 4 คืน เจอคนตัวดำขู่ให้เดินตาม ชาวบ้านเชื่อเป็นอาถรรพ์
มติชน
25 ธันวาคม 2564 ( 15:22 )
80

จากกรณีที่ นายไวพจน์ วังคีรี อายุ 31 ปี อยู่บ้านเขาพระอินทร์ หมู่ที่ 5 (บ้านภูเตย) ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ ได้หายตัวไปจากพื้นที่ บริเวณไร่มันสำปะหลังในหมู่บ้าน ขณะที่แม่ยังคงยืนดูลูกเดินเข้าทำธุระส่วนตัวในดงมันฯ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ในเวลาต่อมาจะมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเฉพาะกิจลาดหญ้าฯ อส.อำเภอทองผาภูมิ เจ้าหน้าที่อุทยานลำคลองงู อาสาสมัครมูลฯธิพิทักษ์กาญจน์ และเพื่อนบ้าน รวมกว่า 70 คน ออกค้นหาตลอดระยะเวลาที่หายไป ตั้งแต่บ่ายวันที่ 19 ธ.ค.64 แต่ก็ไม่พบร่อยรอยใดๆ

จนกระทั่งในเวลา 17.30 น ของวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา ชาวบ้านภูเตย พบตัว นายไวพจน์ วังคีรี ซึ่งอยู่ในสภาพอิดโรย ร่างกายไร้เสื้อผ้า เหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว เดินเท้าเปล่า เท้าทั้ง 2 ข้างมีบาดแผลพุพอง ยืนโบกรถอยู่ริมข้างทาง บริเวณทุ่งเกษตร หมู่ที่ 5 บ้านภูเตย อบต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ ซึ่งเป็นไร่ของ นายทองสุก วรรณสัมผัส ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 8 กม. ก่อนจะแจ้งข่าวให้ดีให้ครอบครัวทราบในเวลาต่อมา

จึงเกิดคำถามมากมายว่า ตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน ที่หายตัวไป นายไวพจน์ วังคีรี หรือที่ครอบครัวเรียกชื่อเล่นว่า บิน ไปอยู่ไหน ไปกับใคร เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนนับร้อยที่ช่วยกันออกตามหาแทบพลิกแผ่นดิน เดินค้นหาร่องรอยในพื้นที่เกือบทุกตารางนิ้ว เริ่มตั้งแต่ในพื้นที่ไร่มันฯ จุดที่นายบินเดินเข้าไป แต่ไม่พบร่องรอยใดๆ เลย ตลอด 5 วัน จนสุดท้ายครอบครัวต้องไปนิมนต์พระวิจิตร ภัททกิตตโก (หลวงตาจิตร) เจ้าอาวาสวัดบ้านน้ำมุด (พระเกจิอาจารย์ ชื่อดัง) ที่ชาวบ้านเคารพเลื่อมใส มาทำพิธีในบ่ายวันที่ 25 ธ.ค.64 จนนำมาสู่การพบตัว นายบิน ในเวลาเย็นวันนั้นเอง

วันนี้ 25 ธ.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 25/15 ม 5 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านของ นายบิน เต็มไปด้วยญาติ พี่น้อง เพื่อนสนิท รวมทั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้านและมาจากต่างหมู่บ้าน ที่เดินทางมาเยี่ยม และแสดงความยินดีกับพ่อและแม่ ของ นายบิน รวมทั้งมาร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับ นายบิน พร้อมทั้งไต่ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ขณะที่ นายบิน เองยังอยู่ในสภาพที่อิดโรย เนื่องจากความเหนื่อยล้า และยังขวัญเสียกับเรื่องราวที่เพิ่งพบเจอมา และยังคงต้องนอนพัก สลับกับการลุกนั่งบ้างในบางครั้งบนเตียนนอน กลางลานบ้าน ส่วนบริเวณแขน และ มือทั้งสองข้างพบร่องลอยบาดแผล และรอยถลอก จากการโดนใบไม้บาดและมีรอยฟกช้ำ เท้าทั้งสองข้าง พบรอยช้ำเป็นจ้ำๆ และพุพอง บริเวณหลังและฝ่าเท้า และเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า “ผมยังนอนผวา สะดุ้งตื่น ภาพผู้ชายตัวดำ รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ที่คอยสวดคาถาหรืออะไรก็ไม่รู้กรอกหูผมอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งขู่ผมทุกครั้งที่ผมคิดจะหาทางหนีเพื่อจะกลับบ้าน”

และว่า “เที่ยงวันที่ 19 ธ.ค. ผมขับรถจักรยานยนต์เพื่อจะไปรับแม่กลับบ้านมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน หลังจากช่วยพ่อรดน้ำผักที่แปลงผัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก เมื่อขึ้นไปรับแม่ที่สวนพริกมาถึงที่รถ จยย.ที่จอดอยู่ ผมรู้สึกปวดท้องจึงบอกให้แม่รอที่รถ เพื่อจะเข้าไปปลดทุกข์ในดงมันสำปะหลังที่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร พอเดินเข้าไปในดงมันฯ ยังไม่ทันทำอะไร ทุกอย่างก็มืดลง ผมพยายามหันกลับไปมองหาแม่ แต่ก็ไม่พบ ไม่เจอ และไม่ได้ยินอะไร นอกจากชาย 2 คนตัวดำ สูงใหญ่ หน้าตาดุดัน ที่สวดคาถาหรืออะไรใส่หูผม พร้อมบอกให้ผมเดินตามไป ผมต้องค่อยเดินสลับกับการคลานไปอย่างช้าๆ เนื่องจากทุกอย่างอยู่ในความมืด ไม่มีลม ไม่มีแสงสว่างใดๆ ไม่มีจุดหมาย แต่ต้องไปตามเสียง ที่ชาย 2 คนที่คอยสั่งผมอยู่บนยอดเขา ไม่รู้เวลา ไม่รู้วัน ทุกครั้งที่ผมคิดจะหันกลับบ้าน ผู้ชายทั้ง 2 ก็จะรู้และขู่ ยิ่งทำให้ตนเองหวาดกลัว”

“ผมอาศัยกินน้ำตามแอ่งน้ำเล็กๆ ที่เจอระหว่างทาง โดยเอาใบไม้มาม้วนแทนแก้วเพื่อคลายหิว บางครั้งก็กินหยวกกล้วยจากต้นกล้วยป่า ประทังความหิว อาศัยนอนใต้ต้นไม้บ้าง ตามโขดหินบ้าง บางคืนหนาวจนถึงกระดูก บางครั้งต้องเอาใบตองกล้วยป่ามาปูนอน มันเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะทรมาน คิดถึงพ่อและแม่อยู่ตลอดเวลา”

“ในหูจะได้ยินเสียงสวดของผู้ชาย 2 คน นั้น สลับกับเสียงขู่ อยู่ตลอดเวลา ต่อมาผมเริ่มได้ยินเสียงพระสวดมนต์ แทรกเข้ามาในหูอีกข้าง ไม่นานเสียงพระที่สวดมนต์ค่อยๆ ดังขึ้นๆ ขณะที่เสียงสวดของชาย 2 คน เริ่มแผ่วลงๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงชาย 2 คนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด วินาทีนั้นมีแสงสว่างเกิดขึ้นผมจึงได้เดินตามแสงสว่างนั้นออกมาจากที่มืด ต่อจากนั้นผมจำอะไรไม่ได้ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที่เหมือนเดินอยู่ข้างทางที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่รู้ ขณะที่ตาเริ่มพร่ามัว มารู้สึกตัวอีกที่ก็พบพ่อและแม่ รวมทั้งพี่ๆและญาติ ทุกคนดีใจ ผมก็ดีใจที่ได้เจอพ่อและแม่อีกครั้ง หมอมาดูอาการผม ก่อนที่ทุกคนจะพาผมกลับบ้านอีกครั้ง”

“ผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาบ้านอีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว ผมไม่รู้จะเล่าอย่างไร ภาพผู้ชาย 2 คนยังติดตาผมอยู่จนวันนี้ ผมคงไม่กล้าออกไปไหนสักพัก”

เมื่อถามว่าถ้าหายดีแล้วจะไปหาหลวงตาจันทร์ ที่วัดบ้านน้ำมุด ไหม “ผมต้องไปแน่นอน ที่ผมรอดชีวิตมาได้ในครั้งนี้เพราะบารมีหลวงตาจันทร์ ที่ท่านช่วยผม ซึ่งแม่ได้ไปบนเอาไว้ว่าหากเจอผม จะให้ผมบวช ซึ่งผมก็ตั้งใจอยากบวชเช่นกัน” นายบิน กล่าว

ขณะที่ นายรวย และ นางสมจิตร วังคีรี สองสามีภรรยา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวด้วยรอยยิ้มว่า “รู้สึกดีใจมากที่ลูกชายปลอดภัย ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่และเพื่อนบ้านทุกคนที่ช่วยออกติดตามหาลูกชายของตนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่พบตัว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตนเองเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเป็นเรื่องของความอาถรรพ์ของบ้านเขาพระอินทร์ ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดกับครอบครัวของตนเอง ที่สำคัญการที่ลูกชายตนเองกลับมาได้อย่างปลอดภัยเป็นพระบารมีของหลวงตาจันทร์ วัดบ้านน้ำมุด ที่ท่านเมตตามาช่วยทำพิธี เพราะหลังจากที่ญาติที่อยู่บ้านน้ำมุด พาหลวงตามาทำพิธีบริเวณไร่มันสำปะหลัง ที่เกิดเหตุได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่าพบลูกชายที่บ้านภูเตย ซึ่งก่อนหน้าจะเดินทางกลับหลวงตาจันทร์บอกกับทุกคนว่า ไม่ต้องออกค้นหาหรอก เพราะทุกคนเหนื่อยมามากแล้ว ภายในวันนี้เดี๋ยวเขาก็ออกมาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากๆ โดยช่วงหนึ่งระหว่างทำพิธี ทุกคนที่อยู่ในพิธีได้ยินเสียงหลวงตาจันทร์พูดกับใครก็ไม่รู้ว่าให้ปล่อยตัวลูกชายของตนเองมา ถ้าไม่ปล่อยจะได้เห็นดี พร้อมกันนั้นหลวงตาได้ท่องคาถาซึ่งน่าจะเป็นภาษาเขมร”

ชาวบ้านที่นี่ทุกคนเคารพและศรัทธาในตัวหลวงตาจันทร์ โดยใครที่มีเรื่องเดือดเนื้อ ร้อนใจ ก็มักจะไปหาหลวงตาจันทร์ ที่วัดบ้านน้ำมุด หลวงตาก็จะเมตตาให้ความช่วยเหลือ และครั้งนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่หลวงตาช่วยคนที่หายไปแบบน้องบิน เมื่อก่อนเคยมีเด็กในหมู่บ้านอื่นหายไป 2-3 วัน ก็ได้หลวงตาไปช่วยทำพิธีจนเด็กกลับมาได้อย่างปลอดภัย

ซึ่งในเย็นวันนี้ที่บ้าน นายบิน นายรวย และนางสมจิตร และเพื่อนบ้านเตรียมจัดงานฉลองที่ลูกชายกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งเป็นการเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครฯ รวมทั้งเพื่อนบ้านทุกคนที่ช่วยออกตามหาลูกชายตลอด 5 วัน ที่หายตัวไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง