รีเซต

ไทย-อียู หนุนคนรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนนโยบายสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ไทย-อียู หนุนคนรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนนโยบายสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
TNN ช่อง16
16 กันยายน 2564 ( 18:27 )
65

วันนี้( 16 ก.ย.64) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นนโยบายสำคัญที่บรรจุอยู่ในแผนพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 12 ของสหประชาชาติ (SDG 12) ว่าด้วยเรื่องการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และปัจจุบัน กรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2564 – 2570 ต่อเนื่องมาจากแผนส่งเสริมฯ ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556

โครงการ “การขับเคลื่อนนโยบายเพื่อบูรณาการสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่การปฏิบัติ” เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือจาก 3 หน่วยงาน ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.)  และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) โดยเน้นที่การพัฒนาการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน สื่อสารถึงหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้าง และกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งเติบโตมาพร้อม ๆ กับกระแสความตื่นตัวต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และการเรียกร้องสิทธิ์ในการมีทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีให้อยู่ในรุ่นของพวกเขา สอดคล้องกับนิยามของการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ว่า “การพัฒนาที่สนองตอบต่อความต้องการของคนในรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ทำให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตต้องประนีประนอมยอมลดทอนความสามารถในการที่จะตอบสนองความต้องการของตนเอง”

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืนในทวีปเอเชีย (EU SWITCH-Asia SCP Facility) ของสหภาพยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์ 5 ข้อ ได้แก่ 1. เพื่อเพิ่มการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2. เพื่อศึกษาสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประเภทต่าง ๆ และจัดกลุ่มเพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. เพื่อจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการส่งเสริมสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4. เพื่อให้ความรู้และข้อมูลเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  และ  5. เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ด้านสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านแนวปฏิบัติที่ดีและการถอดบทเรียนแก่ประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศกลุ่มผู้นำด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน อื่นๆ

ผลผลิตสำคัญที่ได้จากการดำเนินโครงการนี้ ได้แก่ ร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการส่งเสริมสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ผนวกกรอบแนวคิดของการจัดทำ National Green Directory หรือบัญชีรายการสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีการแบ่งกลุ่มสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ออกเป็น 4 กลุ่มตามระดับความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและสื่อสารให้แก่ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ พร้อมทั้งคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการพิจารณาและขั้นตอนในการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการผลิตสื่อเผยแพร่เพื่อสร้างความตระหนักด้วย

โดยร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการฯดังกล่าว สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2565-2570 แบ่งออกเป็น 6 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 การเพิ่มปริมาณสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  กลยุทธ์ที่ 2 การส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  กลยุทธ์ที่ 3 การส่งเสริมให้เกิดการบริโภคอย่างยั่งยืน  กลยุทธ์ที่ 4 การใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์และกฎหมายเพื่อสนับสนุน  กลยุทธ์ที่ 5 การติดตามและรายงานผล และ กลยุทธ์ที่ 6 การบริหารและกำกับดูแลแผนปฏิบัติการ  โดยภายใต้แต่ละกลยุทธ์ ประกอบด้วยกลยุทธ์ย่อยและแผนงาน ซึ่งแบ่งเป็นแผนระยะสั้น 2 ปี (พ.ศ. 2564 – 2565) แผนระยะกลาง 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) และแผนระยะยาว 10 ปี (พ.ศ.2571-2580) เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

เชื่อว่าผลสำเร็จจากโครงการฯ และผลจากงานสัมมนาในวันนี้ จะส่งผลให้เกิดความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ร่วมกันประสานพลัง และจับมือกันระหว่างคนแต่ละรุ่น เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความยั่งยืน

จากการศึกษาข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างปีงบประมาณ 2563 ของทั้ง 3 หน่วยงานนำร่อง โดยอ้างอิงนโยบายและแนวทางที่เสนอภายใต้โครงการฯ พบว่า กรมควบคุมมลพิษ มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากเดิม 6.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3.5 เท่า เป็น 23.82 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 12 ล้านตัน ภายในระยะเวลา 8 ปี (2565-2572) 



ข่าวที่เกี่ยวข้อง