ต่างชาติเหลือ 0% สภาอุตฯท่องเที่ยววอนรัฐจับคู่จีน นำร่อง 'แทรเวลบับเบิล' ด่วน เฉพาะเมืองคุมโควิดได้ ชี้แพจเกจเที่ยวไทยยังไม่พอ
ต่างชาติเหลือ 0% สภาอุตฯท่องเที่ยว วอนรัฐจับคู่จีน นำร่อง ‘แทรเวลบับเบิล’ ด่วน เฉพาะเมืองคุมโควิดได้ อย่าชะลอ ชี้แพจเกจเที่ยวไทยยังไม่พอ
แทรเวล บับเบิล – เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน กรณีรัฐบาลมีแนวคิดจับคู่ประเทศท่องเที่ยวระหว่างกัน หรือ “แทรเวล บับเบิล” คัดเลือกประเทศที่มีความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ล่าสุดนายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ว่า กรณีการจับคู่ประเทศท่องเที่ยวระหว่างกัน (แทรเวล บับเบิล) เบื้องต้นมีแนวโน้มต้องชะลอแนวคิดไว้ก่อน เนื่องจากประเทศที่ประเมินไว้ว่าจะจับคู่ท่องเที่ยวระหว่างกันได้ก่อนในระยะเริ่มต้น กลับมาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น อาทิ จีน ทำให้การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะไม่สามารถทำได้ในเร็วๆ นี้ ประเมินเบื้องต้นอาจเปิดน่านฟ้าอีกครั้งในไตรมาส 4/2563 หรือช่วงสิ้นปีทีเดียว เพราะสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยทำได้ดีแล้ว ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเร็วเกินไป อาจทำให้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศ และต้องกลับมาเริ่มต้นคุมไวรัสกันใหม่ได้ ซึ่งตรงนี้ภาคเอกชนเห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยและระบบสาธารณสุขของประชาชนในประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าหากการทำแทรเวล บับเบิล ต้องรอไตรมาส 4 ถึงจะเปิดได้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว น่าจะยืนต่อไม่ไหว เพราะที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหากเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงสิ้นปีจริง ภาคการท่องเที่ยวไทยปีนี้ คงฟื้นตัวไม่ได้ ความหวังคงอยู่ที่ปี 2564 เท่านั้น
“ความจริงการทำแทรเวล บับเบิล สามารถเลือกพื้นที่ได้ ยกตัวอย่างหากจะจับคู่กับประเทศคู่ค้าหลักก่อน อาทิ จีน ก็สามารถเลือกให้เข้ามาเป็นรายมณฑลได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนทั้งหมดในทุกเมือง แต่สามารถเลือกเปิดรับเฉพาะในเมืองที่สามารถจัดการโควิด-19 ได้ดี หรือมีความปลอดภัยสูงสุดแล้ว คือ ไม่พบผู้ติดเชื้อมาตลอดกี่วันก็ว่าไป เนื่องจากหากต้องรอให้ถึงปลายปี ตอนนี้เพิ่งผ่านมา 6 เดือนแรกของปี แต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวจะตายกันหมดแล้ว นโยบายที่ออกมาเข้าถึงไม่หมด ความช่วยเหลือยังลงไปไม่ถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจริงๆ อย่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มีทั้งที่พัก ร้านอาหาร ร้านนวด หรือร้านขายของฝากต่างๆ” นายชัยรัตน์กล่าว
3 แพคเกจไทยเที่ยวไทยยังไม่พอ
นายชัยรัตน์กล่าวว่า ขณะนี้อยากให้ภาครัฐเดินหน้าเจรจากับประเทศที่มองไว้เบื้องต้น เพื่อให้หากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเหล่านั้นทรงตัวหรือคลายตัวแล้ว ก็สามารถจับคู่เดินทางท่องเที่ยวระหว่างกันได้ทันที ซึ่งแม้จะยังไม่พร้อมที่จะเปิดต้อนรับในขณะนี้ แต่ก็ถือเป็นการเจรจาเพื่อแสดงจุดยืนไว้ก่อนว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเหล่านั้นแล้วจริงๆ
นายชัยรัตน์กล่าวว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยในปีนี้ มองว่า แม้ภาครัฐจะอัด 3 แพคเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยประเทศออกมา แต่ก็ไม่สามารถพยุงภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวได้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 0% จากเดิมที่รายได้ในภาคการท่องเที่ยวมี 3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดไทยเที่ยวไทยไม่เพียง 1 ล้านล้านบาท ส่วนอีก 2 ล้านล้านบาท เป็นรายได้ที่มาจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งขณะนี้รายได้ในส่วนของ 2 ล้านล้านบาทนั้นหายไปหมด มีเข้ามาในช่วง 1-2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) เพียง 4-5 แสนล้านบาทเท่านั้น ขณะเดียวกันการเดินทางของไทยเที่ยวไทยก็หยุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมที่ผ่านมา เพิ่งเริ่มมีการเดินทางในช่วงต้นเดือนมีนาคมเท่านั้น ทำให้เม็ดเงินรายได้ในภาคการท่องเที่ยวจะหายไปอย่างน้อย 50% แน่นอน หากเทียบกับปี 2562 จึงประเมินว่าแม้ภาครัฐจะอัดแพคเกจกระตุ้นท่องเที่ยวเข้ามาอย่างไรก็ไม่เพียงพอกับสัดส่วนที่หายไปได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เพียงพอ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรออกมาเลย เพราะหากไม่มีอะไรออกมาจริงๆ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะล้มหายไปจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกันหมด