รีเซต

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จากเมียนมาถึงกรุงเทพฯ ภัยพิบัติที่ไม่เคยรอใคร

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่  จากเมียนมาถึงกรุงเทพฯ  ภัยพิบัติที่ไม่เคยรอใคร
TNN ช่อง16
29 ธันวาคม 2568 ( 13:00 )
6

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 เวลาประมาณ 13.20 น. โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา แต่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้างมายังประเทศไทย เหตุการณ์นี้เกิดจากการเคลื่อนตัวของ "รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault)" ซึ่งเป็นรอยเลื่อนมีพลังขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

แผ่นดินไหวมีศูนย์กลางใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา รายงานระบุขนาดความรุนแรงอยู่ที่ 8.2 ที่ความลึกตื้นเพียง 10 กิโลเมตร ถือเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 100 ปีของเมียนมา มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ณ ช่วงต้นเดือนเมษายน มากกว่า 1,000 ถึง 2,000 ราย และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 3,900 ถึง 11,400 ราย ตัวเลขผู้เสียชีวิตและสูญหายคาดการณ์ว่าอาจสูงกว่านี้มาก และแม้จะอยู่ห่างจากศูนย์กลางหลายร้อยกิโลเมตร แต่ประเทศไทยก็รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในอาคารสูงและพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์

ความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนั้นเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานและระบบการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย ในพื้นที่ภาคเหนือ บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ได้รับความเสียหายอย่างชัดเจน แต่ที่น่ากังวลกว่าคือผลกระทบในเขตเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร การที่ตึกสูงเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงเนื่องจากคลื่นแผ่นดินไหวคาบยาว (Long-Period Waves) รวมถึงอุบัติเหตุการพังถล่มของเครนและอาคารก่อสร้างใหม่ เป็นการตอกย้ำว่ามาตรฐานทางวิศวกรรมและความปลอดภัยที่เรามีนั้นอาจไม่เพียงพอต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ นอกจากนี้ ความโกลาหลในการอพยพผู้คนออกจากอาคารสำคัญ เช่น โรงพยาบาลและศูนย์ราชการ ยังแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องของแผนฉุกเฉินและประสบการณ์ของสาธารณชนในการรับมือกับสถานการณ์จริง

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น จึงมอบบทเรียนสำคัญที่เราต้องนำมาถอดรหัสและดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมทันที

  1. การปรับปรุงมาตรฐานวิศวกรรม เราต้องเร่งทบทวนและปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาคารให้เข้มงวดและสอดคล้องกับสภาพธรณีวิทยาและความเสี่ยงแผ่นดินไหวในปัจจุบัน โดยเฉพาะการบังคับใช้มาตรการต้านทานแผ่นดินไหวกับอาคารเก่าและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างเคร่งครัด การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร (Structural Audit) อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  1. การลงทุนในระบบเตือนภัย โดยการพึ่งพาระบบเตือนภัยของประเทศเพื่อนบ้านเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป รัฐบาลควรลงทุนในระบบการตรวจจับและแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้า (Earthquake Early Warning System) ที่เป็นอิสระและรวดเร็ว เพื่อมอบเวลาอันมีค่าไม่กี่วินาทีให้ประชาชนได้เตรียมตัว
  1. การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดจากแผ่นดินไหวแก่สาธารณชน การฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างจริงจังและสม่ำเสมอในทุกระดับ ตั้งแต่ในสถานศึกษาไปจนถึงสถานที่ทำงาน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความสูญเสียในอนาคต

ท้ายที่สุด แผ่นดินไหวในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาที่ผ่านไป แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่บีบให้สังคมไทยต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า ภัยพิบัติไม่ได้อยู่ห่างไกลอีกแล้ว การสั่นสะเทือนครั้งนี้คือเสียงเตือนสุดท้ายที่เรียกให้เราต้องเปลี่ยนทัศนคติจากความประมาทเป็นความตื่นตัวอย่างถาวร ความสูญเสียจะลดลงได้ก็ต่อเมื่อเราทุกคน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันลงทุนในการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ สร้างโครงสร้างที่มั่นคง และปลูกฝังความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัยอย่างลึกซึ้ง 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง