เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index รีบาวด์ขึ้นทดสอบระดับ 1,610-1,615+- จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกระยะสั้น นักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อผลการประชุมและถ้อยแถลงของประธาน FED ที่เน้นย้ำถึงเป้าหมายในการกดเงินเฟ้อให้ลงหากรอบ 2% โดยมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เมื่อคืนและส่งสัญญาณปรับขึ้นอีก 0.5-0.75% ในเดือน ก.ค. ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตชะลอตัวในปี 2022-2023 ที่ระดับปีละ +1.7% ส่งผลให้เม็ดเงินพลิกกลับมาไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น รวมถึง Bond Yield และ Dollar Index ที่อ่อนตัวลง
ส่วนปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่เข้ามากระตุ้น แต่แนวโน้มเศรษฐกิจที่เร่งตัวแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่นๆโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว รวมถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่สูงเท่าและหลักๆกระจุกในหมวดพลังงาน เรามองว่าภาพรวมของ SET Index จะปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่นๆในระยะกลาง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงเราแนะนำ “เก็งกำไร” ลุ้นรีบาวด์ไปแล้ววานนี้ที่ระดับ 1,590+- จุด ส่วนระยะกลาง-ยาวยังเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value และ Defensive Play ที่เกียวข้องกับสินค้าบริการจำเป็น รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวที่ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศระยะยาว
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Value และ Defensive Play ที่แนวโน้มกำไร 2Q22-2H22 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือนมิ.ย. : BCP, CK, CPALL, MAJOR, SAWAD
หุ้นเด่นวันนี้: SISB
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 15 บาท
• เราคาดกำไรจะกลับมาเร่งตัวและเป็นขาขึ้น Q-Q และ Y-Y ชัดเจนใน 2Q22 หลังกลับมาเปิดทำการเรียนการสอนปกติ จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษาอีก หนุนกำไรโตต่อเนื่องใน 2H22
• คาดกำไรปี 2022-2023 โตเฉลี่ยราว 37% ต่อปี ระยะยาวการเติบโตถูกรองรับด้วยการเปิด 2 Campus ใหม่ที่นนทบุรีและระยอง ภาพรวมกำไรกลับเข้าสุ่ Growth Stage อีกครั้งในปี 2022-2026
• แนวรับ 11.60//11 บาท แนวต้าน 12.50//13 บาท
**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ ยังคงผันผวน แต่น่าจะไปทางบวก(ช่วงเช้า) หลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ตามคาด แต่ดอกเบี้ยสิ้นปีของ Fed จะมากกว่าคาด จะเป็นตัวถ่วงดัชนีฯไว้
• ผลการประชุม Fed คืนที่ผ่านมา(15) Fed มีการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งไม่ได้เซอร์ไพร์ตลาดมากนัก เพราะตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่การขึ้นดอกเบี้ยที่จะรุนแรงของ Fed ในช่วงที่เหลือ อาจสูงถึง 1.75% (สิ้นปีไปจบแถวๆ 3.5%) กลายเป็นเรื่องที่เรากังวล ต้องรอดูการตอบรับของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯคืนนี้
• สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ดูจะผ่อนคลายมากขึ้น ทางอียู+NATO ไม่ต้องการให้ทำสงครามต่อแล้ว
• ประธานาธิบดีสหรัฐ มีกาพูดถึงการออกมาตรการเกี่ยวกับค่าการกลั่นน้ำมัน ขณะที่ของไทย รัฐบาลจะขอความร่วมมือให้ลดค่าการกลั่นฯ ในการประชุมวันพรุ่งนี้(17)
• จีนไฟเขียว ให้นักธุรกิจ-นักเรียน เดินทางออกนอกประเทศได้ เรามองว่าการเปิดการเดินทางเป็นสัญญาณที่ดีของภาพรวมเศรษฐกิจจีน หุ้นกลุ่มเดินเรือ-Logistics
• TTB ออกมาคาดการณ์ถึงการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. เป็นรายที่ 2 ว่าอาจจะมีการประชุมในวาระพิเศษก่อนการประชุมจริง (10 ส.ค.) เพื่อพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนเข้ามาเล็งหุ้นกลุ่มแบงก์ที่จะได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ และม.หอการค้าไทยจะมีการคาดการณ์GDP ของไทย
Strategy
• เรามองตลาดหุ้นวันนี้จะผันผวน และยังไม่ชัดเจนนักว่าจะขึ้นได้จริงจังเหมือนปี 2015 การลงทุนในวันนี้ จึงยังต้องใช้ความระมัดระวังอยู่ต่อไป ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์ ที่พอจะเก็งกำไรได้ คือ หุ้นธนาคาร และหุ้นประกันฯ (BLA, TIPH)
• ทิศทางตลาดในระหว่างวัน จะอิงกับ Dow Jones Futures ดังนั้น ควรดูข้อมูลนี้ประกอบการลงทุนไปตลอดวันด้วย
• หุ้นในพอร์ตวันนี้เราเพิ่ม BLA* เข้ามาแทน หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย BLA*(10%), ASIAN(10%), JMT(10%), EA(10%), KKP(10%), BEM(10%), BGRIM(10%)
Strategy Stock Pick
BLA*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 48.00 บาท) “แนวโน้ม Bond Yield ไปต่อหลัง FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% หนุนดอกเบี้ยรับ”
•ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยรับจากการลงทุนที่จะมากขึ้น หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด 0.75% และมีแนวโน้มขึ้นต่อมากกว่าที่ตลาดเคยประเมิน
•ประเมินจำนวนกรรมธรรม์และดอกเบี้ยประกันรับในปีแรกจะเพิ่มขึ้น โดยแผน 10/1 ซึ่งสามารถใช้ลดหย่อนภาษี และ Product อื่นๆ จะขายดีขึ้น คาดลูกค้ากลุ่มพนักงานออฟฟิศจะซื้อเพิ่มขึ้นหลังการเปิดเมือง
•Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 เฉลี่ยที่ 4.7 พัน ลบ. และ 5.9 พัน ลบ. +47.6%YoY, +26%YoY ตามลำดับ
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ดัชนี SET เช้านี้คาดฟื้นตัวตามดัชนีภูมิภาค หลังเฟดชี้เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวในแบบ Soft Landing วางแนวรับดัชนีที่ 1,590 แนวต้าน 1,610 – 1,615 แนะนำซื้อเก็งกำไร KBANK,BBL,SCB,KTB (+ดอกเบี้ยขาขึ้น)/ ASIAN,TU,TFG (+อุปสงค์อาหารสูงขึ้น)
AOT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 76.00 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 2H64/65 คาดเห็นโมเมนตัมการฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นระยะ ด้วยการยกเลิกมาตรการ Test & Go และไม่ต้องตรวจ RT-PCR ตั้งแต่ 1 พ.ค.65 ช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่นักเดินทาง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนดีกว่าคาดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ผ่านจุดสูงสุดมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว โดยจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารรวมในเดือน เม.ย.65 เพิ่มขึ้น +10%MoM (+28%YoY) / +23%MoM (+95%YoY) เดือน พ.ค.65 เพิ่มขึ้น +1%MoM (+237%YoY) / +13%MoM (+923%YoY) และเพิ่มขึ้นต่อในช่วง 11 วันแรกของเดือน มิ.ย.65 เกินเท่าตัวเทียบปีก่อน
BDMS (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท) กำไรสุทธิ 1Q65 อยู่ที่ 3,443 ลบ. (+157.20%YoY, +30.62%QoQ ) ฟื้นตัวได้ดีตามอัตราการครองเตียงของผู้ป่วยในช่วง 1Q65 อยู่ที่ระดับ 80% (เพิ่มจาก 4Q64 ที่ระดับ 70% และ เพิ่มจาก 1Q64 ที่ 46%) ยังคงรับแรงหนุนจาก Covid-19 สำหรับการดำเนินในช่วงถัดๆ ไปถึงแม้เราคาดว่ารายได้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ Covid-19 จะลดลง แต่ด้วยแรงหนุนจากรายได้ผู้ป่วยปกติ และผู้ป่วยต่างชาติที่เริ่มกลับมาหลังเปิดประเทศ จะสามารถ outweight ปัจจัยลบดังกล่าวได้ โดยเฉพาะในช่วงหลังรอมฎอน(ปีนี้หลังวันที่ 1 พฤษภาคม) ผู้ป่วยชาวอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลาม เสร็จสิ้นจากการถือศีลอด มักจะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับการรักษาตัว ปัจจุบัน เราประมาณการกำไรสุทธิ ปี65 และ ปี66 ของ BDMS อยู่ที่ระดับ 9,271 ลบ.( +16.82%YoY) และ 10,088 ลบ.(+8.81%YoY) ตามลำดับ