ดัชนีดาวโจนส์พุ่งแรง หลังทรัมป์ระงับมาตรการภาษีตอบโต้ชั่วคราว

สถานการณ์ตลาด (10 เม.ย. 68) ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพุธ (9 เม.ย.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เป็นเวลา 90 วัน โดยมีผลบังคับใช้ในทันที ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

สรุปตัวเลขดัชนีหลัก

- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 40,608.45 จุด เพิ่มขึ้น 2,962.86 จุด หรือ +7.87%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,456.90 จุด เพิ่มขึ้น 474.13 จุด หรือ +9.52%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,124.97 จุด เพิ่มขึ้น 1,857.06 จุด หรือ +12.16%

ปัจจัยสนับสนุนตลาด

ปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่าการตัดสินใจระงับมาตรการภาษีมีสาเหตุมาจากการที่ประเทศต่าง ๆ กว่า 75 ประเทศได้ติดต่อมายังเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เพื่อเจรจาหาทางออกด้านการค้า ความเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในรอบวันนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ส่วน S&P500 ขยับขึ้นแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 ขณะที่ Nasdaq พุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2544

บรรยากาศการซื้อขาย

มูลค่าการซื้อขายรวมพุ่งแตะ 30,000 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันเดียวของตลาดวอลล์สตรีท ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งสะท้อนความกังวลของนักลงทุน ลดลง 35.75% ปิดที่ 33.62 จากระดับ 57.96 ก่อนหน้าการประกาศของทรัมป์

มาตรการภาษีใหม่ต่อจีน

แม้จะระงับมาตรการตอบโต้กับประเทศอื่น ๆ ชั่วคราว แต่ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 104% เป็น 125% มีผลในทันที เพื่อตอบโต้ที่จีนปรับขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ จาก 34% เป็น 84% ซึ่งจะเริ่มในวันพฤหัสบดีที่ 10 เม.ย.
กลุ่มหุ้นที่โดดเด่น หุ้นในดัชนี S&P500 ทั้ง 11 กลุ่มปิดในแดนบวก โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น 14.15% และหุ้นสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น 11.36% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 18.7% และ Apple เพิ่มขึ้น 15.3% ส่วนหุ้น Delta Air Lines พุ่งขึ้น 23.4% หลังเปิดเผยแนวโน้มกำไรไตรมาส 1 ที่ดีกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ปัจจัยที่ต้องจับตา

นักลงทุนยังคงเฝ้ารอตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมีนาคม ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อ รวมถึงการรายงานผลประกอบการของธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, Morgan Stanley และ Wells Fargo ในสัปดาห์นี้