รีเซต

ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ “HMPRO” ที่ “AA-” แนวโน้ม “Stable”

ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ “HMPRO” ที่ “AA-” แนวโน้ม “Stable”
ทันหุ้น
10 พฤศจิกายน 2568 ( 17:52 )
7

#ทันหุ้น - ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่โดดเด่นของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนอัตรากำไรที่น่าพอใจ และการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับภาระหนี้ให้อยู่ในระดับต่ำและมีสภาพคล่องที่เพียงพอได้อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคำนึงถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย อันเนื่องมาจากอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ซบเซา ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง และการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผู้นำตลาดในอุตสาหกรรม

สถานะเครดิตของบริษัทได้รับแรงสนับสนุนจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและเครือข่ายสาขาที่กระจายตัว ฐานรายได้และกำไรของบริษัทเป็นที่ 1 อย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย โดยรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ประมาณ 7.3 หมื่นล้านบาทในปี 2566–2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่อยู่ในช่วง 6-7 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 5.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ EBITDA ในปี 2567 เติบโตเล็กน้อยที่ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย EBITDA Margin ยังคงทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 16%-17% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

เครือข่ายสาขาของบริษัทมีการกระจายตัวที่หลากหลายทั้งในแง่ของจำนวนสาขาและทำเลที่ตั้ง ณ เดือนกันยายน 2568 บริษัทมีสาขาทั้งสิ้นจำนวน 132 สาขาทั่วประเทศไทย ประกอบด้วยร้านโฮมโปร 101 สาขาและร้านเมกาโฮม 31 สาขา มีพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ทั้งหมด 1,060,800 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งครอบคลุมทุกภาคของประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายธุรกิจค้าปลีกไปยังประเทศมาเลเซียมาตั้งแต่ปี 2557 อีกด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งสิ้นจำนวน 7 สาขาด้วยพื้นที่เพื่อการพาณิชย์รวม 35,400 ตร.ม.

รายได้จะยังคงเติบโตอย่างจำกัดในช่วงปี 2569–2570 ขณะที่อัตรากำไรทรงตัว 

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2568 จนถึงปี 2570 จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังซบเซา และการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นระหว่างผู้ค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านรายใหญ่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจกดดันการเติบโตของรายได้และความสามารถในการทำกำไร เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทมีแผนขยายธุรกิจอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับร้านค้ารูปแบบไฮบริด และการเปิดรูปแบบร้านค้าโฮมโปรหรือรูปแบบร้านค้าเมกาโฮมในพื้นที่ใกล้กับสาขาที่มีอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนผ่านการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ขยายฐานลูกค้า และลดเงินลงทุนลง

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในปี 2568 จะลดลง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ก่อนจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 7.4-7.7 หมื่นล้านบาทในปี 2569–2570 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 4% ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิม (Same-store Sales) นั้นคาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดสาขาใหม่จำนวน 20–30 สาขาในช่วงสามปีข้างหน้า โดยแบ่งสัดส่วนระหว่างร้านค้าโฮมโปรและร้านค้าเมกาโฮมค่อนข้างใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ ยอดขายสาขาเดิมในปี 2568 คาดว่าจะหดตัว 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ก่อนจะกลับมาฟื้นตัวในระดับเลขหลักเดียวในปี 2570 แม้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทจะยังคงมาจากร้านค้าโฮมโปร แต่คาดว่ารายได้จากร้านค้าเมกาโฮมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและจะถึงระดับ 20% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2569 จากระดับ 17% ในปี 2566- 2567

แม้ว่าบริษัทจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากต้นทุนก่อนการดำเนินงานของสาขาใหม่และต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่ต่อเนื่อง แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ความสามารถในการสร้างยอดขายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง รวมถึงการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพผ่านการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำกว่า และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะช่วยบรรเทาแรงกดดันที่มีต่ออัตรากำไรลงได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายจะอยู่ในช่วง 26%–27% EBITDA อยู่ที่ประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท และ EBITDA Margin ทรงตัวที่ระดับ 16%–17% ในช่วงปี 2568–2570

บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัทมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทสามารถควบคุมระดับสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิผล โดยมีรอบหมุนเวียนสินค้าคงคลังที่ประมาณ 100-110 วันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งซึ่งอยู่ที่ 170-220 วันอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้วงจรเงินสดของบริษัทสั้นกว่าของคู่แข่งมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม วงจรเงินสดของบริษัทยาวนานขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา อันเนื่องมาจากการขยายสาขาของร้านเมกาโฮมอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ร้านในรูปแบบเมกาโฮมมีสินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้างในสัดส่วนที่มากกว่าร้านค้าในรูปแบบโฮมโปร บริษัทจึงจำเป็นจะต้องสำรองสินค้าคงคลังในระดับสูงเพื่อรองรับการจำหน่ายเป็นจำนวนมากให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างและเจ้าของโครงการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม วงจรเงินสดของบริษัทยังคงต่ำกว่า 25 วัน

ในปี 2568 บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาร้านโฮมโปรจำนวน 6 สาขาและร้านเมกาโฮมอีกจำนวน 5 สาขา อีกทั้งยังมีแผนจะเปิดสาขาร้านโฮมโปรและร้านเมกาโฮมใหม่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันในช่วงปี 2569-2570 ด้วย ทั้งนี้ จำนวนสาขาของร้านเมกาโฮมที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะส่งผลให้จำนวนวันหมุนเวียนสินค้าคงคลังยาวนานขึ้นและวงจรเงินสดยืดออกตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติแห่งใหม่ของบริษัท และการเพิ่มจำนวนสาขารูปแบบไฮบริด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อและบริหารสินค้าคงคลัง ดังนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะสามารถคงวงจรเงินสดให้อยู่ที่ประมาณ 25 วันได้ตลอดช่วงปีประมาณการ

ภาระหนี้และกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น

จากรายได้และกำไรที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยประกอบกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องในสาขาใหม่และศูนย์กระจายสินค้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 เท่า จากระดับ 1.5-1.6 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงเหลือ 43% ในช่วงเดียวกัน จากระดับมากกว่า 50% ในปีก่อน ๆ สะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำไร

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้และกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของรายได้และกำไรที่คาดการณ์ไว้ การใช้จ่ายเงินลงทุนที่อยู่ในระดับปานกลาง และการบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะลดลงมาอยู่ที่ 1.6-1.8 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 46%-50% ในช่วงปี 2569-2570

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนต่อปีจำนวน 4.5-5.5 พันล้านบาทในช่วงปี 2568-2570 โดยส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการขยายสาขาใหม่ พร้อมกับเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับการขยายศูนย์กระจายสินค้าในปี 2568 และการปรับปรุงสาขาเดิม ทั้งนี้ สมมติฐานยังรวมถึงอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 82%-84% และมูลค่าหุ้นซื้อคืน 1.4 พันล้านบาทซึ่งสิ้นสุดโครงการในเดือนกันยายน 2568

สภาพคล่องเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะอยู่ในระดับที่เพียงพอ ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2568 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 5.7 พันล้านบาทและตั๋วแลกเงินและเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารอีกจำนวน 4 พันล้านบาท และที่เหลือเป็นเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารและหนี้สินตามสัญญาเช่า ทั้งนี้ โดยปกติแล้วบริษัทจะไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดส่วนใหญ่ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน ในขณะที่เงินกู้ยืมระยะสั้นจะชำระคืนด้วยกระแสเงินสดภายในกิจการหรือทำการต่ออายุ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีความต้องการเงินทุนรวมประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งรวมถึงงบลงทุนที่ได้ตกลงไว้สำหรับการบำรุงรักษาและขยายสาขา รวมถึงเงินทุนหมุนเวียนที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังคาดว่าเงินปันผลจะอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท

บริษัทมีแหล่งสภาพคล่องซึ่งประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 2.4 พันล้านบาท ตลอดจนวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่สามารถยกเลิกได้จำนวน 0.2 พันล้านบาท และวงเงินกู้ที่สามารถยกเลิกได้อีกจำนวน 5.4 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงระยะ 12 เดือนข้างหน้า

ตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.5 เท่า ซึ่ง ณ เดือนกันยายน 2568 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1 เท่า ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวต่อไปได้ในช่วงระยะ 12 เดือนข้างหน้า

โครงสร้างหนี้

ณ เดือนกันยายน 2568 บริษัทมีหนี้สินซึ่งไม่รวมหนี้จากสัญญาเช่าทางการเงินรวมจำนวนทั้งสิ้น 1.75 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งประกอบด้วยหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อยจำนวน 0.1 พันล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมจึงอยู่ที่ระดับ 1%

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2568-2570 มีดังนี้

  • รายได้จากการดำเนินงานรวมในปี 2568 คาดว่าจะลดลง 2% จากปีก่อน และฟื้นตัวเติบโตที่ระดับ 4% ต่อปีในปี 2569-2570
  • อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายจะอยู่ในช่วง 26%-27% และ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 16%-17%
  • เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่จำนวน 4.5-5.5 พันล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาตำแหน่งทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ต่อไป อีกทั้งยังคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำโดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ต่ำกว่า 2 เท่าตลอดช่วงปีประมาณการแม้ว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้ หากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ยังคงสามารถรักษาความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลง หากบริษัทมีผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่าคาด นอกจากนี้ หากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เกินกว่า 2 เท่าเป็นระยะเวลานานก็อาจมีผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตได้เช่นกัน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 7 พฤศจิกายน 2568
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 26 ธันวาคม 2567
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO)

อันดับเครดิตองค์กร:AA-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
HMPRO25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568AA-
HMPRO261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569AA-
HMPRO269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569AA-
HMPRO269B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569AA-
HMPRO26DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569AA-
แนวโน้มอันดับเครดิต:Stable

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง