น้องชายพระบิดา ติงข่าวออกเกินจริง ไม่ได้กินอึ-น้ำเหลือง มีแค่ ฉี่-ขี้ไคลเท่านั้น ซัดเดือดหมอปลา
ไร้เงาพระบิดา ที่บ้านเกิด น้องชาย ติงข่าวออกเกินจริง ไม่ได้กินอึ-น้ำเหลืองรักษาโรค มีแค่ ฉี่ กับ ขี้ไคลเท่านั้น ซัดเดือดหมอปลา หยุดสร้างความแตกแยก
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ค.65 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไป บ้านหนองแวง ม.7 ต.โนนสะอาด อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น โดยพบกับ นายบุญตัน (สงวนนามสกุล) อายุ 77 ปี และ นายทองทิพย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี พี่ชายและน้องชายของ นายทวี (สงวนนามสกุล) อายุ 74 ปี ฤาษีที่อ้างเป็นพระบิดาทุกศาสนา เจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมในพื้นที่ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ซึ่งถูกควบคุมตัวไปสอบสวนตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา
ก่อนส่งฟ้องศาลจังหวัดภูเขียวฝากขัง 4 ข้อหา คือ บุกรุกที่สาธารณประโยชน์, รักษาโรค ผิด พ.ร.บ.เวชกรรม ที่ไม่เป็นไปตามหลักสาธารณสุข, เคลื่อนย้ายศพจัดการศพ, ร่วมกันชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ตาม พ.ร.ก.บริหารสถาณการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยที่ศาลจะอนุญาตให้ประกันตัวในเวลาต่อมา
นายทองทิพย์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวชั่วคราวทุกคนก็แยกย้ายกันกลับทันที และไม่ทราบว่าพี่ชายไปไหนหรือไปอยู่กับลูกศิษย์คนไหนหรือไม่ เพราะพี่ชายมีลูกศิษย์ลูกหาที่มีฐานะชื่อเสียงหลายคน เนื่องจากต้องการไม่ให้เป็นเป้าสายตาของสื่อมวลชน จึงแยกย้ายกันทันที และยังไม่มีการพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อรอให้ทุกอย่างคลี่คลายกว่านี้ แต่เบื้องต้นจะมีการพูดคุยกันในเรื่องของการรับศพแม่กลับมาประกอบพิธีทางศาสนาก่อน
"ในส่วนของข่าวที่ออกไปนั้นเกินจริงหลายเรื่อง ไม่มีการกินอุจจาระ ไม่มีการกินน้ำเหลืองศพ ไม่มีการกินเสมหะ แต่มีการดื่มปัสสาวะและกินขี้ไคลจริง และไม่ได้มีการบังคับใคร ส่วนตัวไม่เชื่อว่ารักษาโรคได้ เพราะตนเองยึดหลักวิทยาศาสตร์มากกว่า
อยากฝากถึงหมอปลาว่าหยุดสร้างความแตกแยกในสังคม เพราะที่ผ่านมาเห็นมีแต่ใช้หลักความรุนแรง ไม่ใช้หลักประณีประนอม ทำไมไม่เข้ามาพูดดีๆ ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ชอบยั่วยุให้คนมีอารมณ์ขาดสติทำให้เอาอารมณ์จากการยั่วยุนี้ไปเป็นข่าว และถ้าจมูกดีก็ไปหาพี่ชายให้เจอ"
นายทองทิพย์ กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนประเด็นการเรียกพี่ชายว่าพระบิดานั้น เนื่องจากในสำนักปฏิบัติธรรม มีผู้เฒ่าผู้แก่อยู่หลายคน และคนอีสานก็จะเรียกผู้เฒ่าผู้แก่ว่าพ่อ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าเรียกใคร จึงมีการประชุมกันและมีมติให้เรียกพี่ชายว่าพระบิดาแทนคำว่าพ่อเท่านั้น
ส่วนเรื่องศพของแม่นั้น ตนเองทราบพร้อมๆกับทุกๆคน เพราะอาการของคุณแม่โคม่าแล้วเนื่องจากอายุมาก ทำได้เพียงดูใจ ก่อนที่แม่จะสิ้นใจและได้ประกอบพิธีสวด 3 วัน โดยมีลูกศิษย์มา 95 คน เท่าอายุของแม่ทั้ง 3 วัน และมีการคุยกับว่าจะนำศพแม่กลับไปประกอบพิธีทางศาสนาภายหลัง
ซึ่งในเรื่องนี้พูดคุยกันในครอบครัวแล้ว เนื่องจากกลัวเรื่องศพจะเน่าเพราะไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีน จึงใช้วิธีเจาะโลงไว้เอาน้ำเหลืองออกเพื่อไม่ให้เกิดความชื้นจนทำให้ศพเน่า แต่ไม่ได้เอามากิน น้ำเหลืองที่รองเอาไว้นั้นก็เอาไปทิ้งโดยขุดหลุมฝัง
" พี่ชายออกจากบ้านไปหางานทำที่กทม. ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี โดยไปทำงานขับรถส่งถ่าน ผ่านไปประมาณ 2 ปี พี่ชายกลับมาที่บ้านเกิดที่อ.หนองเรือ เมื่อปี พ.ศ.2522 กระทั่ง ปี 2523 ไปบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดบนเขาใน อ.เทพสถิตย์ จ.ชัยภูมิ มีพระลูกวัด 8 รูป และสามเณร 1 รูป กระทั่งเข้าปี พ.ศ.2526 ธุดงค์ลงจากเขาแต่อาพาธอยู่ในป่า มีชาวบ้านมาพบเห็นและช่วยรักษาโดยหาสมุนไพรมาต้มให้พี่ชายที่เป็นพระสงฆ์ดื่มกินจนหาย และก็อยู่ที่กลางหุบเขานั้นจนถึงปี 2536 จึงมีการตั้งสำนักขึ้นในจุดที่ป่วย
ผ่านไป 1 ปี เจ้าหน้าที่ป่าไม้ขอให้ย้ายออกนอกพื้นที่ จึงธุดงค์ไปตั้งสำนักที่ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิจนถึงปัจจุบัน และได้เปลี่ยนจากห่มผ้าเหลืองพระสงฆ์มาห่มผ้าฤๅษีประมาณปี 2541 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น"