คนไทยตื่น(ตัว)ทอง แห่ซื้อพุ่ง ขึ้นแท่นเบอร์ 1 อาเซียน

"ทองคำ" ขึ้นแรง ก็มีโอกาสจะลงแรง
หลังจากได้เห็นข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน คืบหน้าไปในทิศทางเชิงบวก
เมื่อทั้งสองชาติมหาอำนาจได้จับมือตกลงประกาศการลดภาษีชั่วคราวระหว่างกัน 90 วัน
โดยสหรัฐปรับลดภาษีนำเข้าให้แก่จีนเหลือ 30 % จากเดิม 145 %
ขณะที่จีนลดภาษีให้กับสินค้าอเมริกันที่อัตรา 10 % จากเดิม 125 %
แม้จะเป็นแค่การ "พักรบ(ภาษี)ชั่วคราว" แต่สินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง "ทองคำ" ก็ดิ่งลงทันที
ดังนั้นทองคำไทยจะได้ไปพอหรือพอแค่นี้ ยังต้องจับตากันอย่างใกล้ชิด จากหลายปัจจัย
เพราะทองไทยห้าหมื่นบาท เราก็ได้เห็นกันแล้วในยุคนี้
และการันตีว่าคนไทยนี่แหละเป็นหนึ่งในชาติที่รักและชอบทองมากๆ
เพราะล่าสุดมีรายงานจากสภาทองคำโลกระบุว่า
ประเทศไทยซื้อทองคำสูงสุดในกลุ่มชาติอาเซียน
ทองคำทิศทางขาขึ้น จากความเสี่ยงสงครามการค้าโลก
ทองคำช่วงนี้อยู่ในสภาวะที่ร้อนแรง
ราคาทองคำที่พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 20 ครั้งในไตรมาสที่ 1
เราได้เห็นนิวไฮกันอย่างถี่ๆ ราคาพุ่งไปตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์
และทะลุระดับ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ไปแล้วเมื่อเมษายนที่ผ่ามา
จนต้องมีการปรับเป้าในปีนี้กันใหม่จากหลายสถาบัน
เช่น Goldman Sachs ที่ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำสิ้นปี 2025 อีกครั้ง
ไปสู่ระดับ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจโลก
และนับเป็นครั้งที่สามแล้ว ที่ Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในปีนี้
และเป็นการปรับขึ้นที่แรงที่สุด 12% จากคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ตั้งเป้าหมายสิ้นปีไว้ที่ 3,100 ดอลลาร์
ครั้งที่สองคือช่วงปลายเดือนมีนาคม ขึ้นเป็น 3,300 ดอลลาร์
ซึ่งทั้งสองครั้ง นักวิเคราะห์ของธนาคารให้เหตุผลจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของธนาคารกลางต่างๆ
และเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำ
นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ระบุว่า แม้ว่านักลงทุนจะลดสถานะ
เก็งกำไรในทองคำลงระหว่างการเทขายทั่วทั้งตลาดเมื่อต้นเดือนนี้
แต่ปริมาณการถือครองในกองทุน ETF ทองคำยังคงเพิ่มสูงขึ้น
จากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession concerns)
นอกจากนี้ อุปสงค์ทองคำ (physical demand) จากตลาดในฝั่งตะวันออก
ก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเช่นกันในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงท่ามกลางความผันผวนของตลาด
ตั้งแต่นั้นมา ราคาทองคำแท่ง (bullion) ก็ฟื้นตัวจากการขาดทุนก่อนหน้าทั้งหมด
ทำให้ในปี 2025 ราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 24%
กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดแห่งปี
ราคาทองในไทยปรับตัวอย่างร้อนแรงรายวันในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
แค่ผ่านมาไม่ถึงห้าเดือน ทองบวกจากปีก่อนไปแล้วประมาณหมื่นบาท
และแม้ราคาจะสูง แต่พบว่าคนไทยก็ยังรักในทองคำ มีการลงทุนมากขึ้น
ไทยแห่ซื้อทองลงทุนมากขึ้น สูงที่สุดในอาเซียน
ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC)
ได้รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 1/2568 พบว่า
ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพื่อการลงทุนของประเทศไทย
เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ที่จำนวน 7.4 ตัน
และนับเป็นไตรมาสที่ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดของไทยนับตั้งแต่ปี 2562 (ในรอบ 6 ปี)
ทำให้ตัวเลขความต้องการทองคำภาคผู้บริโภคโดยรวมของไทย
ทั้งปริมาณการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำ
และความต้องการทองคำเครื่องประดับในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ รวมเป็นจำนวน 9.1 ตัน
เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
และเป็นปริมาณความต้องการทองคำภาคผู้บริโภครายไตรมาส
ที่มีการเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน
ส่วนความต้องการทองคำโดยรวมทั่วโลกจากทุกภาคส่วน
(ซึ่งรวมถึงการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ หรือ Over-the-counter: OTC)
รายไตรมาสนั้นอยู่ที่ 1,206 ตัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการฟื้นตัวของกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำแท่งสำหรับนักลงทุน
ส่งผลให้ระดับความต้องการลงทุนทองคำโดยรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า
ไปอยู่ที่ระดับ 552 ตัน หรือคิดเป็น 170% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
และเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 (ในรอบสามปี)
กระแสเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทั่วโลกนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาส 1 ปีนี้
และมีปริมาณความต้องการมากถึง 226 ตัน โดยได้รับแรงสนับสนุน
จากทิศทางราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
และความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีนำเข้าที่ผลักดันให้นักลงทุน
หันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ทองคำเพื่อการลงทุนมาแรงในกลุ่มชาติตะวันออก โดยเฉพาะจีน ในขณะที่ฝั่งตะวันตกอ่อนแอลง
รายงานของสภาทองคำโลกระบุว่า ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำ
เพื่อการลงทุนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
และยังคงอยู่ในระดับสูงที่จำนวน 325 ตันสำหรับไตรมาส 1 ปีนี้
โดยได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนค้าปลีกรายย่อยในประเทศจีนที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
และนับเป็นไตรมาสที่สูงที่สุดในประวัติการณ์เป็นอันดับสอง
ที่สำคัญไม่ใช่แค่เราๆประชาชนหรือนักลงทุนที่แห่ซื้อทอง
ธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกก็พากันซื้ออย่างต่อเนื่อง
แต่สวนทางกับการซื้อทองคำเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ
ที่หดตัวลงอย่างหนักเพราะราคาที่แพงขึ้น
ธนาคารกลางยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำสุทธิติดต่อกันเข้าสู่ปีที่ 16
และได้เพิ่มปริมาณทุนสำรองทั่วโลกถึง 244 ตันในไตรมาสที่ 1
แม้ความต้องการของธนาคารกลางจะลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
แต่นับว่ายังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและมีปริมาณสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยรายไตรมาสของสามปีที่ผ่านมา
ซึ่งถือว่าเป็นการซื้อทองคำในระดับที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง
ทองคำเพื่อการลงทุนได้รับความสนใจมากขึ้น
สวนทางกับทองคำในฐานะเครื่องประดับ
ปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลกได้ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุด
นับตั้งแต่ช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิดในปี 2563
ความเห็นจาก เซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน)
และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า
ประเทศไทยมีการลงทุนทองคำมากขึ้น เพราะมีการคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำในเชิงบวก
ทำให้ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำของไทยเพิ่มขึ้นถึง 25%
เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
ราคาทองคำที่สูงขึ้นได้กระตุ้นให้เกิดแรงขายทำกำไร
ส่วนความต้องการทองคำเครื่องประดับในไตรมาสแรกของไทยนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่ปรับตัวลดลง
เนื่องจากราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์
ความเห็นจากหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสของสภาทองคำโลก
กล่าวว่า ต้นปีนี้ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่มีความท้าทายสำหรับตลาดโลก
เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้า การประกาศนโยบายของสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง
และความกังวลเรื่องสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง
ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสำหรับนักลงทุน
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความต้องการลงทุนในทองคำสำหรับไตรมาส 1/2568
พุ่งสู่ระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 (ในรอบ 9 ปี)
สำหรับอนาคตข้างหน้า สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก็ยังคงคาดการณ์ได้ยาก
ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
สภาวะความผันผวนที่ยังคงอยู่ต่อไปนี้อาจทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
จากทั้งภาคสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และภาครัฐ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้