ต่างชาติลุยหุ้นต่อ เล็งแบงก์-ค้าปลีก แววฉีดวัคซีนครบ

ทันหุ้น-ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยมั่นใจ เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/2564 หลังฉีดวัคซีนเพิ่มต่อเนื่อง-รวดเร็วรวมถึงแผนเปิดประเทศขณะที่ไทยไม่มีปัญหาภาวะเงินเฟ้อส่วนผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มยังเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยเกณฑ์ร้อนแรง ปีนี้จบ 1,650 จุด ปีหน้าโดดขึ้น 1,800 จุด เลือกกลุ่มแบงก์และค้าปลีกเป็นหุ้นเด่น
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทยประเมิน แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส4/2564 ยังมีทิศทางเป็นขาขึ้นแต่อัพไซด์อาจมีไม่มากโดยประเมินว่าดัชนีปลายปีนี้น่าจะอยู่ในระดับประมาณ 1,650 จุดบวกลบคาดว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาดีขึ้นในปีหน้าและประเมินดัชนีในปี 2565 มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ในระดับ1,750-1,800 จุดได้
นอกจากนี้ยังประเมินว่าในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยมากกว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาซึ่งใน7 เดือนแรกของปีนี้ต่างชาติขายสุทธิประมาณ 1 แสนล้านบาทและกลับมาซื้อสุทธิเมื่อเดือนสิงหาคมประมาณ 7 พันล้านบาทและในเดือนกันยายนซื้อสุทธิ 1.1 หมื่นล้านบาทส่วนในเดือนตุลาคมนี้ พบว่ามีการซื้อสุทธิแล้วประมาณเกือบ 2 พันล้านบาท
สาเหตุที่มีเงินทุนไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยเพราะขณะนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศจะมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อซึ่งถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นและจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยขณะที่ประเทศไทยนั้นปัญหาด้านภาวะเงินเฟ้อไม่น่ากังวลโดยมองว่าเศรษฐกิจในขณะนี้ของไทยยังต่ำกว่าศักยภาพอยู่มากดังนั้นจึงมองว่าไม่กังวลกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยส่วนกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าก็น่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกรวมถึงมองว่าการอ่อนค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนอีกไม่มากแล้วเพราะที่ผ่านมาอ่อนตัวลงกว่า 10% แล้วและหากในปีหน้านักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาก็จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดค่อยๆดีขึ้นและจะทำให้ค่าเงินบาทกลับมามีเสถียรภาพดีขึ้น
นอกจากนี้ไทยยังมีปัจจัยบวกจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วขึ้นรวมถึงปัญหาความล่าช้าของวัคซีนก็ไม่น่าจะมีแล้วเพราะรัฐบาลก็มีการเตรียมพร้อมอย่างดี, การเปิดเมืองในเดือนพฤศจิกายนนี้ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจและอาจจะนำไปสู่การปรับประมาณการเศรษฐกิจให้สูงขึ้นได้และสุดท้ายตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวค่อนข้างมากหากไทยเข้าสู่การเปิดประเทศก็จะทำให้นักลงทุนย้ายการลงทุนไปสู่หุ้นดังกล่าว
ส่วนแรงซื้อจากกองทุนประเภทกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือ RMF และกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวหรือ SSF ในตลาดหุ้นช่วงปลายปีคาดว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไม่มากเพราะกองทุนทั้ง RMF และSSF ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 100% เหมือนกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF โดยสามารถลงทุนในตราสารอื่นๆได้ที่มีความปลอดภัยดังนั้นจึงมองว่าไม่น่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นมากนัก
**ดัชนีเชื่อมั่นนลท.ร้อนแรง
นายไพบูลย์กล่าวว่าจากผลสำรวจในเดือนกันยายน 2564 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลง 1.1% อยู่ที่ระดับ 142.71 อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงเช่นเดียวกับเดือนหน้าซึ่งนักลงทุนทุกกลุ่มทั้งนักลงทุนทั่วไป, โบรกเกอร์, นักลงทุนสถาบันและต่างชาติยังมีมุมมองตลาดหุ้นในทิศทางที่ดีโดยมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายเพราะมีการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นรองลงมาได้แก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเงินทุนไหลเข้า
ทั้งนี้จากการสำรวจหมวดธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนพบว่าจะเป็นหุ้นที่ได้รับผลดีจากการเปิดเมืองโดยนักลงทุนรายบุคคลและโบรกเกอร์เลือกหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีความน่าสนใจที่สุดขณะที่นักลงทุนสถาบันและต่างประเทศจะเลือกหุ้นกลุ่มค้าปลีกมีความน่าสนใจ