รีเซต

วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน วัคซีนดาวรุ่งสู่ดาวร่วง?

วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน วัคซีนดาวรุ่งสู่ดาวร่วง?
TNN World
25 มิถุนายน 2564 ( 10:50 )
246

Editor’s Pick: วัคซีนต้านโควิด-19 ของ Johnson & Johnson ที่ฉีดเพียงเข็มเดียวเคยเป็นความหวังของสหภาพยุโรปว่าจะเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ในการรับมือโรคระบาด แต่จากหลังนั้นไม่นาน ยุโรปกลับต้องผิดหวัง 

 

 

 

ชาวยุโรปเมิน J&J ทั้งที่เคยหวังไว้สูง


สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งยุโรปกำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างสูงสุด วัคซีน Johnson & Johnson หรือ J&J กลายเป็นความหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนเกมให้ยุโรป แต่ไม่กี่เดือนต่อมา วัคซีนดังกล่าวกลับมีการใช้งานน้อยที่สุดในบรรดาวัคซีนที่ใช้ในยุโรป 

 


แม้ว่าวัคซีน J&J ไม่จำเป็นต้องฉีดเข็มที่สองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน แต่ปรากฎว่า สหภาพยุโรปหรือ EU มีการใช้วัคซีนดังกล่าวเพียงครึ่งเดียวของวัคซีนที่มีการจัดส่งมาแล้ว ต่ำกว่าวัคซีนคู่แข่งอย่าง AstraZeneca ที่มีปัญหาเรื่องการส่งมอบและความปลอดภัยเช่นกัน ซึ่งนี่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับ J&J

 

 


ปัญหาการผลิตและการส่งมอบ


เมื่อวันที่ 11 มีนาคมว่า ซึ่งเป็นวันที่ EU อนุมัติการใช้งานวัคซีน J&J, สเตลลา ไคเรียคิเดส กรรมาธิการยุโรปด้านสุขภาพและความปลอดภัยอาหาร ได้กล่าวว่า “วัคซีนเพียงโดสเดียวก็สามารถสร้างความแตกต่างให้กับความเร็วของโครงการฉีดวัคซีนแล้ว”
ตอนนั้น โครงการฉีดวัคซีนของ 27 ชาติ EU กำลังเผชิญปัญหา เพราะการจัดส่งไม่ได้ตามเป้าของ AstraZeneca ในขณะที่วัคซีนของ J&J มีกำหนดจะมาถึงในช่วงต้นเดือนเมษายน ทำให้วัคซีนของ J&J  ถูกมองว่าจะเป็นวัคซีนสำคัญในการขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนในยุโรป

 


อย่างไรก็ตาม วัคซีนของ J&J กลับส่งมอบล่าช้าสองสัปดาห์ และสองเดือนต่อมา EU ได้รับวัคซีน J&J มาเพียง 12 ล้านโดส จากทั้งหมด 55 ล้านโดสที่ต้องส่งมอบภายในสิ้นเดือนนี้ 
นอกจากนี้ ปัญหาในการผลิตวัคซีน J&J ที่โรงงาน Emergent ในสหรัฐฯ ยังทำให้ EU ปฏิเสธวัคซีนอีก 20 ล้านโดสที่ต้องส่งมอบภายในเดือนนี้ด้วย และ EU ยอมรับว่า J&J  อาจส่งมอบไม่ได้ตามเป้า

 

 

 

EU ฉีดวัคซีน J&J น้อยสุด


ข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป ระบุว่า จากวัคซีนของ J&J จำนวน 12 ล้านโดสที่มีการส่งมอบ อียูนำไปใช้เพียงหกล้านโดสเท่านั้น เป็นอัตราที่ต่ำสุดในบรรดาวัคซีนทั้งหมดที่หน่วยงานกำกับดูแลยาแห่งสหภาพยุโรปหรือ EMA ได้อนุมัติใช้ฉุกเฉิน
ณ จนถึงวันอังคารที่ผ่าน อียูใช้วัคซีนของ Pfizer – BioNTech ไปแล้ว 90% ของจำนวน 250 ล้านโดสที่มีการส่งมอบ และใช้วัคซีนของ Moderna ไปแล้วเกือบ 85% จาก 30 ล้านโดสที่ได้รับมา ขณะที่วัคซีนของ AstraZeneca  ซึ่งมีการส่งมอบมาแล้วเกือบ 70 ล้านโดส อียูนำไปใช้งานแล้วราว 75%

 


ตัวเลขเปรียบเทียบที่แตกต่างจากวัคซีนคู่แข่งนี้จึงน่าฉงน เพราะวัคซีนคู่แข่งล้วนต้องฉีดสองโดสและต้องมีการบริหารจัดการการฉีดอย่างระมัดระวังมากกว่า ในขณะที่วัคซีนของ J&J ไม่มีปัญหานี้ให้ต้องกังวล
อย่างไรก็ตาม โฆษกของคณะกรรมาธิการปฏิเสธแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ แต่กล่าวว่า คณะกรรมาธิการยุโรปและรัฐบาลชาติต่าง ๆ ผิดหวังกับตัวเลขในการส่งมอบในช่วงหนึ่ง แต่ก็หวังว่าการส่งมอบวัคซีนจะเพิ่มขึ้นในเวลาต่อมา

 

 


ยืนกรานส่งมอบให้ครบ 200 ล้านโดส


ด้าน J&J ย้ำหลายครั้งว่าจะส่งมอบวัคซีนให้ครบ 200 ล้านโดสตามที่ EU สั่งมา แต่ปฏิเสธที่จะเผยเป้าหมายในการส่งมอบในไตรมาสที่สองนี้ และเหตุผลที่มีการใช้งานน้อย

 


Reuters ระบุว่า หนึ่งในเหตุผลที่มีการใช้วัคซีน J&J ต่ำ เป็นเพราะการถูกระงับใช้วัคซีนดังกล่าวเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และเผชิญข้อจำกัดสืบเนื่องมาจากความเป็นไปได้ที่จะเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งแม้ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 

 


สำหรับ AstraZeneca นั้นเผชิญปัญหาเดียวกันและถูกจำกัดการใช้งานใน EU เช่นกัน แต่ยังมีอัตราการใช้ที่สูงกว่า เพราะปัญหาด้านความปลอดภัยของวัคซีน AstraZeneca นั้นเกิดขึ้นหลังมีการใช้งานในประเทศ EU ไปมากแล้ว แต่ปัญหาผลข้างเคียงของ J&J นั้นได้รับการเปิดเผยก่อนที่จะมีการใช้งานใน EU โดยเป็นรายงานจากการใช้งานในสหรัฐฯ

 

 


สถานการณ์แค่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับ J&J


ดร. กุยโด ราซี อดีตผู้อำนวยการ EMA กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลทางยุทธศาสตร์ใด ๆ สำหรับการใช้วัคซีน J&J ต่ำในยุโรป หนึ่งในคำอธิบายอาจเป็นไปได้ว่า วัคซีน J&J มาถึงหลังวัคซีนคู่แข่งอื่น ๆ ซึ่งบรรดาคนกลุ่มเสี่ยงต่างได้รับการฉีดวัคซีนไปกันเกือบหมดแล้ว ทำให้ไม่มีแรงกดดันต้องรีบใช้วัคซีนดังกล่าว

 


ขณะเดียวกัน ในเชิงที่น่าขบขัน ข้อได้เปรียบด้านการขนส่งของวัคซีน J&J ก็ทำให้การใช้งานวัคซีนดังกล่าวลดลงเช่นกัน เพราะหน่วยงานต่าง ๆ กำลังเล็งที่จะเอาวัคซีนชนิดนี้ไปใช้กับพื้นที่ห่างไกลที่มีประชากรไม่มากแทน 
ดร. ราซี กล่าวว่าการที่วัคซีน J&J ฉีดเพียงเข็มเดียว ทำให้ถูกมองว่าน่าจะเอาไปใช้ในพื้นที่ที่การบริหารจัดการวัคซีนสองโดสค่อนข้างมีปัญหา เช่น บรรดาเกาะต่าง ๆ และพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงมากกว่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง