นักวิจัยคาดความต้องการแร่ลิเธียมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในปี 2030
ปัจจุบันความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งแบตเตอรี่ลิเธียมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ล่าสุดนักวิจัยจาก Grand View Research เปิดเผยรายงานที่คาดการณ์ความต้องการแร่ลิเธียมวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในปี 2030
โดยทีมงานวิจัยให้เหตุผลว่าในปี 2030 จะมีการผลิตและใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัท เมอร์เซเดส เบนซ์ (Mercedes-Benz) มีแผนการเปลี่ยนสายการผลิตทั้งหมดเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในปี 2030 บริษัท จีเอ็ม (General Motors) กำลังเปลี่ยนสายการผลิตของบริษัทเข้าสู่เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า บริษัท ฮุนได (Hyundai) ตั้งเป้าเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 7% ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ (BEV) ของโลก นอกจากนี้ยังไม่รวมแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของบริษัท เทสลา (Tesla) และโวล์คสวาเกน (Volkswagen) ที่พยายามผลักดันเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว
รายงานส่วนหนึ่งระบุว่า ปัจจุบันตลาดซื้อขายแร่ลิเธียมนั้นมีมูลค่าประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 264,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2021 ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันราคาของแร่ลิเธียมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 400% เนื่องจากความต้องการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำด้านภาคอุตสาหกรรมของโลกยังมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มเติมโดยการผ่านร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้งานพลังงานสะอาดด้วยงบประมาณกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 14 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลา 10 ปี ข้างหน้า ยิ่งทำให้ปริมาณความต้องการแบตเตอรี่ลิเธียมเพิ่มมากขึ้น
แร่ลิเธียมมีฉายาเรียกว่า ทองคำสีขาว กลายเป็นทรัพยากรที่อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศแหล่งผลิตแร่ชนิดนี้ร่ำรวยกลายเป็นชาติมหาเศรษฐีในแบบเดียวกับประเทศที่เป็นแหล่งของน้ำมัน แหล่งแร่ลิเธียมที่มีขนาดใหญ่ของโลกมีชื่อเรียกว่า สามเหลี่ยมลิเธียม (Lithium Triangle) ตั้งอยู่ในบริเวณประเทศอาร์เจนตินา ชิลีและโบลิเวีย อย่างไรก็ตามประเทศที่ผลิตและส่งออกแร่ลิเธียมมากที่สุดในโลก คือ ออสเตรเลีย โดยมีปริมาณการส่งออกมากถึง 55,000 ตัน ในปี 2021 ที่ผ่านมา
ที่มาของข้อมูล electrek.co, en.wikipedia.org, grandviewresearch.com
ที่มาของรูปภาพ Reuters