AOT แนวโน้มเชิงบวก แต่มี upside จำกัด
#ทันหุ้น - บล.กสิกรไทย จำกัด ส่อง หุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT คาด capex บางส่วนจะถูกเลื่อนออกไปตามจำนวนผู้โดยสารปัจจุบัน และอาจได้สิทธิการบริหารท่าอากาศยานภูมิภาคอีก 3 แห่ง ปรับประมาณการจำนวนผู้โดยสารปี FY2565-67 ขึ้น จาก 21 ล้านคน/44 ล้านคน/71 ล้านคน เป็น 23 ล้านคน/48 ล้านคน/71 ล้านคน ตามคาดการณ์ของ AOT โดยคงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 73.50 บาท เนื่องจากเชื่อว่าขณะนี้มูลค่าหุ้นค่อนข้างแพงแล้ว จึงทำให้มี upside ที่จำกัด
- อาคารผู้โดยสารใหม่ SAT-1 เตรียมเปิดให้บริการในปี FY2567 AOT คาดว่าจะเปิดอาคารผู้โดยสารใหม่ SAT-1 ในปี FY2567 ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี อาคารผู้โดยสารดังกล่าวจะมีหลุมจอดซึ่งอยู่ติดกับอาคารที่พักผู้โดยสาร (contact Gate) จำนวน 28 แห่ง ซึ่งสามารถรองรับเครื่องบินรหัส F ได้ 8 ลำ และเครื่องบินรหัส E จำนวน 20 ลำ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากอาคารผู้โดยสารใหม่ ประมาณ 210 ลบ. ต่อเดือน
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า อาคารผู้โดยสารใหม่ SAT-1 จะช่วยปรับปรุงคุณภาพการให้บริการของสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถูกใช้งานเกินขีดความสามารถในปี FY2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ AOT รายงานจำนวนผู้โดยสารรวมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่ 64 ล้านคน ซึ่งเกินความสามารถในการรองรับผู้โดยสารที่ 45 ล้านคน
- Capex บางส่วนน่าจะถูกเลื่อนออกไป ฝ่ายวิจัยคาดว่างบลงทุน (capex) บางส่วนของ AOT จะถูกเลื่อนออกไป โดยอิงจากจำนวนผู้โดยสารปัจจุบัน และท่าอากาศยานภูมิภาคที่ทางบริษัทฯ อาจได้สิทธิในการบริหารอีก 3 แห่ง (กระบี่ อุดรธานี และบุรีรัมย์) ปัจจุบัน AOT อยู่ระหว่างการก่อสร้างรันเวย์แห่งที่ 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินได้เป็น 90 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากปัจจุบันที่ 60 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
ขณะเดียวกัน การขยายตัวด้านทิศตะวันออก คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี FY2567 ฝ่ายวิจัยคาดว่าแผนการขยายพื้นที่ด้านทิศเหนือจะถูกเลื่อนออกไปจากปี FY2567 เป็นปี FY2570 และคาดว่าจะไม่มีการขยายสนามบินภูมิภาคในช่วงปี FY2565-67 ซึ่งน่าจะช่วยรักษากระแสเงินสดระยะสั้นของ AOT ให้อยู่ที่ประมาณ 7.2 หมื่นลบ. ซึ่งประกอบด้วยการขยายตัวด้านทิศเหนือจานวน 3.5 หมื่นลบ. และการขยายสนามบินภูมิภาคจานวน 3.7 หมื่นลบ.
-ปรับเพิ่มประมาณการจำนวนผู้โดยสาร ปรับเพิ่มประมาณการจำนวนผู้โดยสารรวมปี FY2565-67 ขึ้นจาก 21 ล้านคน/44 ล้านคน/71 ล้านคน เป็น 23 ล้านคน/48 ล้านคน/71 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วยจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศและในประเทศ 6 ล้านคน/24 ล้านคน/42 ล้านคน และ 17 ล้านคน/24 ล้านคน/28 ล้านคน ตามลำดับ ทั้งนี้ สมมติฐานจำนวนผู้โดยสารใหม่ของฝ่ายวิจัยนั้นสอดคล้องกับคาดการณ์ของ AOT ขณะเดียวกัน AOT รายงานจำนวนผู้โดยสารรวมในช่วง 11 เดือนแรกของปี FY2565 ที่ 20 ล้านคน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 5 ล้านคน และผู้โดยสารในประเทศ 15 ล้านคน
-ปรับประมาณการกำไรปี FY2565-67 ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการผลขาดทุนปกติปี FY2565 ลงจาก 1.17 หมื่นลบ. เป็น 1.03 หมื่นลบ. และเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี FY2566-67 จาก 4.5 พันลบ. และ 2.48 หมื่นลบ. เป็น 8.7 พันลบ. และ 2.88 หมื่นลบ. เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการจำนวนผู้โดยสารของฝ่ายวิจัย และความล่าช้าของการเปิดอาคารผู้โดยสารใหม่ SAT-1 จากกลางปี FY2566 ไปเป็นช่วงต้นปี FY2567
ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “ถือ” AOT แต่เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 73.50 บาท จากเดิม 66.79 บาท เพื่อสะท้อน 1) การปรับเพิ่มสมมติฐานจำนวนผู้โดยสาร 2) การปรับประมาณการกำไร 3) การเลื่อน capex บางส่วน และ 4) การปรับปีฐานมูลค่าหุ้นของฝ่ายวิจัยจากกลางปี 2566 ไปเป็นสิ้นปี 2566 แม้ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ แต่ฝ่ายวิจัยมองว่าราคาหุ้นค่อนข้างแพงแล้ว หลังปรับตัวขึ้น 20% YTD หากอิงตามประมาณการของฝ่ายวิจัย ราคาหุ้น AOT ขณะนี้ซื้อขายด้วย PER ปี FY2566 และ FY2567 ที่ 120.6 เท่า และ 36.5 เท่า ตามลำดับ
-คำนวณมูลค่ายุติธรรมของ AOT ที่ 73.50 บาท อิงด้วยวิธีกระแสเงินสดส่วนลด (DCF) โดยใช้ต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุน (WACC) ที่ 8.5% และอัตราการเติบโตขั้นสุดท้ายที่ 3.5%