เปิดแผน! สธ.ตั้งเป้านำเข้าวัคซีนปีนี้ 120 ล้านโดส- เจรจาขอวัคซีนรุ่น 2 ต้านไวรัสกลายพันธุ์

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2564 เวลา 11.30 น. กระทรวงสาธารณสุขแถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการติดตามการฉีดวัคซีน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับข้อมูลวัคซีนที่เรามี ไม่ว่าวัคซีนที่ประเทศไทยใช้ ไม่ว่าจะเป็นซิโนแวค แอสตร้าเซนเนกา ไฟเซอร์ และซิโนฟาร์ม ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวถึงได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และองค์การอนามัยโลก และข้อมูลตรงกันหลายอย่างยืนยันถึงประสิทธิภาพ การป้องกัน การเจ็บป่วย ด้วยโรคโควิด-19 จากวีคซีน
ยอดฉีดวัคซีนสะสมกว่า 26 ล้านโดส
“แม้ว่าวัคซีนจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงหรือโอกาสการติดเชื้อ ที่สำคัญลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต ได้อย่างมีนัยสำคัญที่เห็นโดยทั่วไป”
สำหรับภาพรวมผลการฉีดวัคซีนเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม อยู่ที่ 609,435 โดส เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในรอบหลายวันที่ผ่านมา ทำให้ยอดสะสมอยู่ที่ 26,428,101 โดส แยกเป็นฉีดเข็ม 1 จำนวน 19,973,692 ราย คิดเป็น 27.7% ผู้ที่ได้รับครบ 2 เข็ม จำนวน 5,920,614 ราย คิดเป็น 8.2%และเข็มที่ 3 จำนวน 533,795 ราย โดยซิโนแวคมียอดฉีดแล้ว 12,328,604 โดส แอสตร้าเซนเนกา 11,161,950 โดส ซิโนฟาร์ม 2,440,215 โดส ไฟเซอร์ 497,332 โดส
กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการฉีด มีบุคลากรการแพทย์และสาธารสุขฉีดเข็มแรก 865,818 ราย เข็ม 2 จำนวน 750,658 ราย เข็มที่3 จำนวน 533,795 ราย เจ้าหน้าที่ด่านหน้าเข็มที่1 จำนวน 1,014,519 ราย เข็มที่2 จำนวน 615,614 ราย
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเข้มที่1 จำนวน 601,431 ราย เข็มที่2 จำนวน 279,925 ราย ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่ 1 จำนวน 244,372 ราย เข็มที่2 จำนวน 425,310 ราย
ประชาชนทั่วไปเข็มที่1 จำนวน 11,020,015 ราย เข็มที่2 จำนวน 3,394,575 ราย ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 จำนวน 4,206,659 ราย เข็มที่2 จำนวน 453,018 ราย หญิงตั้งครรภ์เข็มที่1 จำนวน 20,878 คน เข็มที่2 จำนวน 1,514 ราย
“หญิงตั้งครรภ์มีข้อมูลชัดเจนในระยะหลังๆถ้าพบการติดเชื้อ มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าคนทั่วๆไป เวลาไปฝากท้องที่คลินิกหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน หากได้รับคำแนะนำให้ฉีดวัคซีน ปรึกษาหมอให้ดี เพราะจากประสบการณ์ฉีดวัคซีนที่ผ่านมา 26 ล้านโดส ยังไม่มีรายใดเลยเสียชีวิตจากผลของวัคซีนโดยตรง คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญได้มีผลสรุปมาแล้ว แต่โอกาสเสียชีวิตจากการติดโควิดมีโอกาสสูงกว่ามาก ฉะนั้นวัคซีนที่เราใช้ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูง”
สำหรับยอดสะสมรายจังหวัดที่เน้นคือในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 13 จังหวัด ฉีดเข็มที่1 แล้ว 11,083,904 ราย คิดเป็น 50% เข็มที่2 จำนวน 2,784,163 ราย คิดเป็น 12.6% เข็มที่3 จำนวน 217,737 ราย คิดเป็น 1% ตามแผนจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 50% ตอนนี้มีหลายจังหวัดที่ใกล้เป้าหมายแล้ว เช่น กรุงเทพฯ ฉีดเข็มที่1 แล้ว 82.5% นนทบุรี 38.4% ปทุมธานี 38.7%
ส่วนจังหวัดอื่นๆ รวม 64 จังหวัด ฉีดเข็มที่1 แล้ว 8,889,788 ราย คิดเป็น17.8% เข็มที่2 จำนวน 3,136,451 ราย คิดเป็น 6.3% เข็มที่3 จำนวน 316,058 ราย คิดเป็น 0.6%
อีกกลุ่มที่เร่งฉีดคือกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากมีการเสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่มากกว่า 80-90% เป้าหมายในการฉีดในสิ้นเดือนสิงหาคมต้องให้ได้70% ในพื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ขณะนี้กรุงเทพฯ ฉีดแล้ว 94.7% รองลงมาปทุมธานี 63.3% สมุทรสาคร 56% คาดว่าสิ้นเดือนสิงหาคมนี้น่าจะใกล้เคียงหรือเกินเป้าหมาย
ก.ย.นี้แอสตร้าฯส่งมอบอีก 7.2 ล้านโดส
นพ.โอภาสยังกล่าวถึงจำนวนวัคซีนที่เข้ามาในประเทศไทยนับจากเดือนกุมภาพันธ์ที่มีซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนกาเข้ามาจนถึง20 สิงหาคม มีวัคซีนที่เข้ามา 30 กว่าล้านโดส โดยขบวนการเมื่อวัคซีนเข้ามาจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพ ความปลอดภัย จากนั้นจะมีกระจายไปยังจุดฉีดต่างๆที่กำหนดเป็นจังหวัด และจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร จะมีการจัดบริการการฉีดตามกลุ่มหมายที่ส่วนกลางกำหนด
“สังเกตุดูตั้งแต่มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม จำนวนวัคซีนที่เข้ามามีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สอดคล้องกับยอดการฉีดและความต้องการของการฉีด อย่างเช่น ของแอสตร้าเซนเนกา พบว่าระยะหลังมีการนำเข้าวัคซีนมา มีการฉีดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ในสัญญาที่ลงนามจองกับบริษัทแอสตร้าเซนเนกา ตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 ขณะนั้นยังไม่มีวัคซีนที่ผลิตสำเร็จแม้แต่ขวดเดียว ในเงื่อนไขสัญญาจะระบุว่าการส่งมอบจะต้องเจรจาเป็นรายเดือน ตามสัญญากำหนดจะเริ่มส่งมิถุนายน จากนั้นจะมีการเจรจาแต่ละเดือนเพื่อส่งมอบตามที่เราต้องการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณวัคซีนที่แอสตร้าเซนเนกาจะมีให้ด้วย
“อย่างเช่นเดือนมิถุนายนที่เริ่มการฉีดจะมีวีคซีนเข้ามาเฉลี่ย 5 ล้านโดส กรกฎาคม 5 ล้านโดส สิงหาคม 5 ล้านโดส โดยเฉลี่ยจะมีวัคซีนเข้ามา 5-6 ล้านโดสต่อเดือน สำหรับกันยายนนี้ได้แสดงเจตจำนงว่าต้องการมีวัคซีนฉีดเพิ่มขึ้น จากการเจรจาบริษัทส่งสัญญาณจะส่งวัคซีนให้ไทย 7.2 ล้านโดส ผมเชื่อว่าในการเจรจาจะมีวัคซีนเข้ามาเรื่อยๆตามที่ต้องการ จะสอดคล้องกับแผนการฉีด”
ปี’65นำเข้า 120 ล้านโดสมุ่งปักเข็ม3-กลุ่มเด็ก
สำหรับในปี 2565 จากแนวโน้มการฉีดวัคซีน อาจจำเป็นต้องใช้เข็มที่3เรียกว่าบูสเตอร์โดส รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายอื่นที่อาจจะไม่ครอบคลุม เช่น กลุ่มเด็ก มีการวิจัยในหลายๆหน่วยงาน บริษัท หลายประเทศ ถึงความจำเป็นต้องฉีดในกลุ่มเด็ก รวมทั้งการฉีดเข็มที่3 เนื่องจากข้อมูลหลายแห่ง พบว่าหลังจากฉีดวัคซีนไป 2 เข็ม ไม่ว่ายี่ห้ออะไรก็ตาม ภูมิคุ้มกันจะตกลง ดังนั้นการฉีดเข็มที่3 จะเป็นตัวกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
“ปี 2565 จำเป็นต้องหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อฉีดใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเด็กและเตรียมสำหรับบูสเตอร์โดส ซึ่งคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้เสนอความเห็นและผ่านความเห็นชอบของศบค.แล้วว่าในปี 2565 จะต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มอย่างน้อย 120 ล้านโดส และให้มีวัคซีนที่มีความหลากหลายในการฉีด เช่น วัคซีนviral vector วัคซีนเชื้อตาย และอื่นๆเป็นต้น “
เตรียมนำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่ต่อสู้เชื้อกลายพันธุ์
ขณะนี้สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้ประชุมหารือกับบริษัทผู้ผลิต แสดงเจตจำนงแล้วว่าจะนำเข้าไฟเซอร์อย่างน้อย 50 ล้านโดส แอสตร้าเซนเนกา 50 ล้านโดส แต่รายละเอียดจะเป็นวัคซีนแบบไหน ขณะนี้มีข้อมูลว่าในหลายบริษัทเริ่มจะผลิตวัคซีนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์ได้มากขึ้น เรียกว่าวัคซีนรุ่นที่2 ถ้าบริษัทสามารผลิตวัคซีนและมีผลวิจัยที่ยืนยัน จะขอให้บริษัทส่งมอบวัคซีนรุ่นที่2 ให้กับไทย รวมถึงปริมาณที่แน่นอน กำหนดการส่ง และราคา ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ที่ผ่านมาการเจรจามีความก้าวหน้าด้วยดี
ทั้งนี้เป้าหมายในการฉีดวัคซีนเพื่อให้ทุกคนได้รับวัคซีนทุกคนด้วยความสมัครใจ ขณะนี้แผนปี 2564
มีแผนจัดหา 100 ล้านโดส ในภาพรวมขณะนี้มีสั่งจองแอสตร้าเซนเนกาในปีนี้อีก 61 ล้านโดส ล่าสุดเพิ่งลงนามสัญญากับไฟเซอร์จะนำเข้ามาในไตรมาส3 อีก 30 ล้านโดส รวมถึงซื้อซิโนแวคมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปลี่ยนสูตรฉีดวัคซีนไข้วที่มีประสิทธิภาพอีกประมาณ 30 ล้านโดส ซึ่งในของปีนี้ไม่เกี่ยวกับแผนปี2565 มีแผนจะนำเข้าอีก 120 ล้านโดสเป็นอีกส่วน คนละสัญญา คนละกรณี
“จะเห็นว่าในภาพรวมตัวเลขนำเข้าและการจองจะเกิน 100 ล้านโดสไปแล้ว อย่างไรก็ตามความต้องการฉีดของพี่น้องประชาชนมีมาก และเรามีวีคซีนมากจะทำให้ฉีดได้มากได้เร็วยิ่งขึ้น ทำให้เกิดภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเสียชีวิต ป่วยรุนแรงมากขึ้น”
นพ.โอภาสยังตอบคำถามถึงกรณีที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการมีการฉีดแอสตร้าเซนเนกาเข็มแรกและเข็มที่2 ห่างกัน 20 วันว่า ในการฉีดแอสตร้าเซนเนกากำหนดให้ฉีด 8-16 สัปดาห์ เพราะมีภูมิกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูง แต่ถ้าใกล้กันมากเกินไปภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีนัก อยากให้ติดตามอาการายบุคคลอย่างเข้มงวดต่อไป ต้องเป็นประสบการณ์นำไปปรับใช้ในระบบการแก้ไขต่อไป