สาวสิงคโปร์โดนคดี ฐานฝ่ามาตรการคุมเข้ม ออกไปเจอแฟนหนุ่ม-สวมหน้ากากผิด

แชนแนลนิวส์เอเชียรายงานเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมว่า เรนุกา อารูมูกัม หญิงอายุ 30 ปี ถูกศาลสิงคโปร์ตั้งข้อหาดำเนินคดีภายใต้รัฐบัญญัติโควิด-19 (มาตรการชั่วคราว) 2020 ของสิงคโปร์ ในฐานความผิดรวม 5 กระทง จากการฝ่าฝืนมาตรการตัดวงจรซึ่งเป็นมาตรการคุมเข้มเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของทางการสิงคโปร์ ด้วยการออกจากบ้านไปพบแฟนหนุ่มของตนเองถึง 2 ครั้ง รวมถึงเพื่อนของตนเองด้วย

ข่าวแจ้งว่า ในฐานความผิดของเรนุกาที่ถูกศาลสิงคโปร์ดำเนินคดีรวม 5 กระทงนั้น ในจำนวนนี้ 2 กระทงมาจากการไปพบปะบุคคลที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของตนเองเพื่อเป้าประสงค์ทางสังคม อีก 2 กระทงเป็นฐานความผิดของการออกนอกบ้านโดยไม่มีเหตุผลอันควร และ อีกกระทงเป็นการสวมหน้ากากป้องกันใบหน้าที่ไม่ถูกต้องขณะออกจากบ้าน

ในเอกสารคำส่งฟ้องของศาลระบุว่า ผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ออกไปนอกบ้านถึง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรการตัดวงจร โดย 2 ครั้งนั้นเป็นการออกไปพบแฟนหนุ่มในสถานที่แห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 12 เมษายน และอีกครั้งในวันที่ 17 เมษายน

โดยผู้ต้องหารายนี้ยังสวมหน้ากากไม่ถูกต้องโดยไม่ปิดจมูกและปาก ขณะที่เข้าไปยังลานจอดรถของสถานที่แห่งหนึ่งในวันเดียวกับที่ไปพบแฟนหนุ่มของตนเองในวันที่ 2

ส่วนความผิดอีกกระทงคือการไปพบปะกับอีกบุคคลหนึ่งที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเช่นกันเมื่อวันที่ 29 เมษายน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุในภายหลังว่าคนที่เรนุกาไปพบคือเพื่อนซึ่งไปซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน

ด้านผู้ต้องหาหญิงรายนี้ให้การต่อศาลว่าเธอเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ได้ตั้งใจที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งยังบอกด้วยว่าตนเองตกงาน หากศาลจะสั่งโทษปรับหนัก เธอก็คิดว่าเธอคงไม่สามารถจ่ายได้

ทั้งนี้ผู้ต้องหารายนี้มีกำหนดจะขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่ 10 มิถุนายนนี้เพื่อยอมรับผิด โดยเธอจะเผชิญโทษสูงสุดคือจำคุก 6 ปี และโทษปรับเป็นเงินสูงถึง 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 227,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้