คดีฉ้อโกงใน"อังกฤษ"พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมยูเค ไฟแนนซ์ (UK Finance) ระบุว่า แม้จำนวนคดีฉ้อโกงเพิ่มขึ้น แต่ยอดเงินที่ถูกขโมยยังคงอยู่ที่ 1.17 พันล้านปอนด์ (1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2566 ซึ่งสะท้อนว่าความพยายามของภาคการเงินในการต่อสู้กับอาชญากรรมประเภทนี้ยังมีข้อจำกัด โดยปัญหานี้คิดเป็น 41% ของอาชญากรรมที่มีการรายงานทั้งหมดในสหราชอาณาจักร และถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงิน
เบน โดนัลด์สัน กรรมการผู้จัดการด้านอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของยูเค ไฟแนนซ์เตือนว่า การฉ้อโกงไม่เพียงส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อสังคมและตัวบุคคลอย่างรุนแรง โดยเงินที่ถูกขโมยไปมักตกอยู่ในมือของกลุ่มอาชญากรรมที่มีการจัดตั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จิม วินเทอร์ หัวหน้าฝ่ายอาชญากรรมทางการเงินของเนชันไวด์ (Nationwide) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อบ้านรายใหญ่อันดับสองของอังกฤษระบุว่า ตัวเลขคดีฉ้อโกงที่ยูเค ไฟแนนซ์รายงานนั้นยังเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเพราะยังมีเหยื่อจำนวนมากที่ไม่แจ้งความหรือไม่รายงานคดีที่เกิดขึ้น
จากผลสำรวจพบว่า ชาวอังกฤษ 1 ใน 7 ได้รับอีเมลที่อาจเป็นการฉ้อโกงในแต่ละวัน แต่ 43% ของพวกเขาระบุว่าจะไม่แจ้งความ แม้เป็นผู้เสียหายหรือพบเห็นการฉ้อโกงก็ตาม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อังกฤษกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการฉ้อโกงระดับโลกจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งระบบโอนเงินที่รวดเร็ว การบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ และมีการใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุดซึ่งเป็นภาษาหลักที่ใช้กันทั่วโลก ซึ่งเอื้อให้กลุ่มอาชญากรสามารถขยายเครือข่ายหลอกลวงได้ง่าย
ในปี 2567 มิจฉาชีพได้ปรับเปลี่ยนมาใช้รูปแบบใหม่คือการฉ้อโกงผ่านการซื้อของออนไลน์ (remote purchase fraud) ซึ่งอาศัยการแฮกหรือขโมยรหัส OTP ที่เหยื่อได้รับ แล้วนำไปสั่งซื้อสินค้าแทนเหยื่อบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้การหลอกลวงรูปแบบนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา