รีเซต

KTB-SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้

KTB-SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้
ทันหุ้น
22 เมษายน 2568 ( 09:17 )
4

#ทันหุ้น - นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.24 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.09 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.04-33.26 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้น ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงขายทำกำไรสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน 

ซึ่งกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินยูโร (EUR) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง (อย่างไรก็ดี ปริมาณธุรกรรมในตลาดถือว่าน้อยลงจากช่วงปกติ เนื่องจากเป็นวันหยุด Easter ของตลาดการเงินยุโรป) ทั้งนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น

 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มการแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ล่าสุดแสดงความต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ย ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด ดิ่งลง -2.36%

 

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) แต่ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ยังคงถูกสั่นคลอน จากความกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัจจัยล่าสุด อย่าง ความเสี่ยงการเข้าแทรกแซงเฟด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นปัจจัยที่กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น สู่ระดับ 4.40% อนึ่ง เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพียงแต่ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการขายทำกำไรสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ซึ่งส่งผลให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และบรรดาสกุลเงินหลักอย่าง เงินยูโร (EUR) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ทว่า การรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังขาดความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นสู่โซน 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.9-98.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) สู่โซน 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงที่การดำเนินงานของเฟด อาจถูกแทรกแซงจากการเมืองสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดล่าสุด ยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาส 73% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยราว 4 ครั้ง ในปีนี้ ส่วน ECB มีโอกาสราว 55% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีนี้

 

และนอกเหนือจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ อย่าง Tesla (รับรู้รายงานผลประกอบการช่วง After Close)

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม และมีแนวโน้มแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นมาบ้าง ตามการปรับสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หากราคาทองคำเผชิญแรงขายมากขึ้น หลังทำจุดสูงสุดใหม่ โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off0 ทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเลือกที่จะขายทำกำไรทองคำออกมาได้ คล้ายกับช่วงตลาดปั่นป่วนจากความกังวลมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงพอสมควร พร้อมกับตลาดหุ้นทั่วโลก 

 

นอกจากนี้ เรามีความกังวลว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาทองคำ กับเงินบาทอาจเปลี่ยนแปลงไป จากพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด เพราะหากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ อาจจะด้วยสาเหตุที่ทยอยขายทำกำไรไปช่วงก่อนหน้าแล้ว กอปรกับความกังวลว่าราคาทองคำอาจพุ่งสูงขึ้นต่อ (Fear of Missing Out: FOMO) ก็อาจทำให้ ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ (ซึ่งจะต่างจากที่ปกติ ผู้เล่นในตลาด มักจะรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลง ในการทยอยเข้าซื้อ หรือ เน้น Buy on Dip)

 

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าไม่ยาก จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ อีกทั้ง บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก็อาจยิ่งกดดันให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนทยอยขายสินทรัพย์ไทย อย่าง หุ้นไทย เพิ่มเติมได้

 

ทั้งนี้ เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยโซนแนวต้านจะติดอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนรวรับยังคงอยู่ในช่วง 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์

 

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

 

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.40 บาท/ดอลลาร์

 

ด้านกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.15-33.40 บาท/ดอลลาร์

 

ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าหลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า 3,521% สำหรับแผงโซลาร์จากกัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และไทย เพราะผู้ผลิตประเทศเหล่านี้ได้ประโยชน์จากเงินอุดหนุนของรัฐบาล

 

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ปลดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต่อเนื่อง ส่งผล

ให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงแรง ราคาทองสูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง

 

การเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ถูกเลื่อนออกไป โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะยังไม่ได้เดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจาในวันที่ 23 เมษายนนี้

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง