รีเซต

“ปริญญ์” นำผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อย ยื่น “ชวน” ขอ ศบค.เลิกเคอร์ฟิว

“ปริญญ์” นำผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อย ยื่น “ชวน” ขอ ศบค.เลิกเคอร์ฟิว
มติชน
16 กันยายน 2564 ( 15:34 )
60
“ปริญญ์” นำผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อย ยื่น “ชวน” ขอ ศบค.เลิกเคอร์ฟิว

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 16 กันยายน ที่รัฐสภา นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วยนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคปชป. และนายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตบึงกุ่ม พรรคปชป. นำตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหาร และร้านค้ารายย่อย รวมถึงหาบเร่แผงลอย ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยื่นข้อเรียกร้องถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ผ่านนายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้ ศบค. ยกเลิกเคอร์ฟิว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยให้กลับมาดำเนินกิจการต่อได้ เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

 

 

นายปริญญ์ กล่าวว่าผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้า ธุรกิจกลางคืน และหาบเร่แผงลอย เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 และได้มีความพยายามที่จะปรับตัวตามมาตรการการบริหารของภาครัฐมาโดยตลอด แม้ปัจจุบันจะได้รับอนุญาตให้เปิดบริการและนั่งทานในร้านได้แล้ว แต่ยังคงมีปัญหาในเรื่องของการกำหนดระยะเวลาเคอร์ฟิวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ให้เปิดบริการได้ไม่เกิน 21.00 น. ซึ่งไม่เพียงพอต่อการหารายได้ในแต่ละวัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เริ่มดำเนินการในช่วงเย็น ที่จะต้องเตรียมตัวปิดร้านหลังเวลาเปิดได้ไม่นาน ทำให้เสียโอกาสในการประกอบอาชีพ ขณะเดียวกัน ประชาชนทั่วไปก็ไม่ได้รับความสะดวกสบายในการรับประทานอาหารด้วยเช่นกันเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะ Work from home หรือเลือกรับประทานอาหารได้ในช่วงเวลาจำกัด

 

 

นายปริญญ์ กล่าาวต่อว่า ทีมเศรษฐกิจทันสมัยพรรคปชป. เข้าใจความเดือดร้อนดังกล่าวของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี จึงอยากให้ศบค. พิจารณาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยผู้ประกอบการประคองให้ธุรกิจผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ อำนวยความสะดวกให้ประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นคืนในเร็ววัน ทั้งนี้เห็นว่า เรื่องเวลาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส จึงไม่ควรนำมาใช้ตีกรอบการประกอบอาชีพของประชาชน

 

 

ด้านนางดรุณวรรณ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่จะให้มาตรการด้านสาธารณสุขกับมาตรการทางด้านเศรษฐกิจเดินไปควบคู่กัน เพราะประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนคลายมาตรการบางอย่างเพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ จึงอยากเรียกร้องให้ภาครัฐจัดทำ Good Practice ให้เหมาะสมกับธุรกิจแต่ละประเภท เช่นเดียวกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มี Good Factory Practice เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนได้เตรียมพร้อมกับการเตรียมเปิดประเทศ เพราะหากวันนี้ยังไม่เตรียมการทำอะไรเพิ่มเติม เชื่อว่าในวันที่รัฐบาลเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ อาจไม่เหลือผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายย่อย ที่จะมารองรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศมาในอนาคตได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง