“ราคาทอง” บทเรียนสำคัญของ "FOMO Investor"

สถานการณ์ราคาทองคำที่ผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อย “ติดดอย” หลังจากราคาพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ 4,380 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ ท่ามกลางแรงซื้อที่เข้ามาอย่างผิดปกติของนักลงทุนรายย่อยในลักษณะ “FOMO Investor” แล้วการลงทุนในลักษณะ FOMO คืออะไร ทำไมถึงมีโอกาสสร้างความเสียหายให้นักลงทุนอย่างรุนแรง
ราคาทองคำปรับตัวลดลงรุนแรงมาแตะระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ และเกือบจะหลุดลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ด้วยซ้ำ หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล เหตุการณ์ความผันผวนของราคาทองคำ ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ความผันผวนของราคาสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ที่มากระทบ รวมถึงแรงซื้อขายจากนักลงทุน
ในช่วงที่สถานการณ์ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดสถานการณ์การลงทุนหนึ่งเกิดขึ้น นั่นคือ “FOMO Investor” หรือ Fear Of Missing Out คือสถานการณ์ที่นักลงทุนเกิดอาการกลัวที่จะตกกระแส หรือกลัวที่จะพลาดการได้รับผลตอบแทนในลักษณะที่คนอื่น ๆ ได้รับ จึงตัดสินใจลงทุนโดยที่อาจจะไม่ได้ประเมิน หรือวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารอย่างเพียงพอ ส่งผลให้มีโอกาสในการสร้างความเสียหาย หรือผลขาดทุนให้กับนักลงทุน
ซึ่งจริง ๆ แล้วสถานการณ์ FOMO นั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเรื่องของการลงทุนเพียงเท่านั้น แต่มักถูกนิยายเข้าไปในพฤติกรรมทางสังคม โดยเฉพาะในปัจจุบันที่โลกของการสื่อสารเปิดกว้าง การหลั่งไหลของข้อมูลข่าวสารมาในทุกทิศทาง ส่งผลให้คนที่มีอาการนี้มักจะรู้สึกกังวล พลาดไม่ได้ และต้องคอยตรวจสอบข้อมูลอยู่เสมอ เพราะกลัวจะตกข่าว กลัวคนอื่นรับรู้เรื่องที่ตนเองไม่รู้ หรือรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หรือคนส่วนใหญ่ ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่จำเป็น เช่น การใช้จ่ายเกินตัว หรือการทำอะไรโดยไม่ได้ไตร่ตรอง
แล้วราคาทองคำสามารถถอดบทเรียนให้กับการลงทุนในลักษณะ FOMO ได้อย่างไร ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อกระแสของราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง เกิดการพูดถึงเป็นวงกว้าง ทั้งในแวดวงสังคมทั่วไป และการลงทุน ซึ่งการพูดถึงทองคำเกิดขึ้นใน “คนส่วนมาก” ในลักษณะที่สอดคล้องกับแนวโน้มของราคา เช่น “ไม่ซื้อตอนนี้ จะซื้อตอนไหน”, “ราคาทองรอบนี้ ถ้าไม่ซื้อตกรถแน่นอน” หรือแม้กระทั่งการแสดงออกผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในการซื้อทองคำ หรือแสดงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในทองคำ เป็นต้น ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ โดยปกติแล้ว “อันตราย”
อาการ FOMO จึงเกิดขึ้นกับนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ต้องการจะพลาดการเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนมาก หรืออยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำเหมือนคนอื่น ทำให้ตัดสินใจเข้าซื้อทองคำ โดยหวังเพียงราคาจะต้องเพิ่มขึ้น เพื่อได้รับผลตอบแทนเหมือนกับที่คนอื่นได้รับ โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูล หรือประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
ซึ่งในสถานการณ์นี้ หลาย ๆ คนอาจจะเห็นแตกต่างว่า นักลงทุนอาจจะไม่ได้ซื้อเพราะ FOMO แต่ปัจจัยหลาย ๆ อย่างสนับสนุนราคาทองคำต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น การเสื่อมค่าของดอลลาร์ แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การค้า รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ปฏิเสธว่าปัจจัยเหล่านี้สนับสนุนราคาทองจริง แต่คำถามที่ใหญ่ และสำคัญกว่าคือ ราคาทองรับรู้ปัจจัยเหล่านี้ไปหมดแล้วหรือยัง ราคาพุ่งไปยังจุดสูงสุดแล้วหรือไม่ต่างหาก
อีกหนึ่งข้อมูลที่สนับสนุนว่าเกิดสถานการณ์ FOMO ในราคาทองคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือรายงานของ “Flow Show” ของ Bank Of America ที่ระบุว่า ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% ในระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน โดยที่มีเงินทุนไหลเข้าพอร์ตการลงทุนทองคำในช่วงเวลาดังกล่าวสูงกว่าเงินทุนไหลเข้าทั้งหมดในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ซึ่งที่ผ่านมาก็มีบางปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำในลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ได้มีแรงซื้อเข้ามามหาศาลขนาดนี้
และสิ่งที่อันตรายที่สุดของ FOMO จะเกิดขึ้นกับลักษณะของการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคน คนที่ซื้อทองคำแท่ง หรือซื้อ Gold Spot ก็อาจจะเจ็บตัวน้อยหน่อยในระดับ 10-12% แต่ถ้าเป็นการซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในทองคำ หรือการซื้อขายทองคำในลักษณะที่มีอัตราทด หรือ Leverage ในการลงทุนสูง ความเสียหายก็จะมากขึ้นตามไปด้วย อาจจะ 30-50% หรือนักลงทุนบางคนอาจจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด “พอร์ตแตก” ไปเลยก็เป็นได้
เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่มีอะไรแน่นอน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดอัตราดออกเบี้ยตามคาดอีก 25 เบสิสพอยต์ ฟังดูแล้วก็ต้องสนับสนุนราคาทองคำตามที่ทุกคนคาดไว้ แต่ประธานเฟดอย่าง เจอโรม พาวเวลล์ กังวลต่อสถานการณ์แรงงานในสหรัฐฯ ทำให้อาจจะยัง “ไม่ลดดอกเบี้ย” ต่อเนื่องในการประชุมในเดือนธันวาคม
ตลาดผิดหวังกับคำพูดนี้ และเมื่อไหร่ ข่าวร้ายปรากฎขึ้นหลังข่าวดี อาการตื่นตระหนก หรือ Panic มักจะเกิดขึ้นเสมอ ส่งผลให้ราคาทองคำที่ฟื้นกลับมายืนเหนือ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ กลับไหลลงไปหลุด 4,000 ดอลลาร์ และมีแนวโน้มว่าส่วนต่างจะลึกลงไปมากกว่านี้
อาการ FOMO ของนักลงทุน เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างมาก ทุกครั้งที่สินทรัพย์ใดถูกพูดถึงอย่างผิดปกติ และถูกพูดถึงในแวดวงที่อาจจะไม่เคยพูดถึงมาก่อน เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบมากกว่าเดิม ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วว่าจะตัดสินใจลงทุน ก็ไม่ควรลงทุนในลักษณะ “All In” เพื่อหวังผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด การแบ่งไม้ซื้อยังคงมีความจำเป็น อาจจะซื้อ 20% ของเงินลงทุน ถ้าราคาไปต่อ ก็มีของ แต่ถ้าราคาปรับตัวลดลงมา หรือเกิดการพักฐาน ก็ยังเหลือเงินซื้อสะสมเพิ่มเติม
และที่สำคัญที่สุดคือการใช้ “Money Management” เข้ามาช่วยในการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ต้องมีจุดที่ทำกำไร หรือ Take Profit และจุดตัดขาดทุน หรือ Stop Loss ที่ชัดเจน เพื่อความสมดุลของการลงทุน และไม่ใช้ Leverage ในการลงทุนมากเกินไป จนอาจจะเกิดความเสียหายต่อเงินลงทุนจำนวนมาก
FOMO Investor สถานการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสินทรัพย์ และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ การกลัวที่จะพลาดการลงทุนนั้นไม่ผิด แต่นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องบริหารการลงทุนให้รอบคอบ ทุุกสินทรัพย์มีลักษณะทั่วไป ลักษณะผลตอบแทน ข้อจำกัด และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน แต่ทุกสินทรัพย์ไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงความเหนือกว่า หรือใช้นำมา “ขิง” กัน แต่มีไวเพื่อ “กระจายความเสี่ยง” จากการลงทุนต่างหาก
สถานการณ์ราคาทองคำในครั้งนี้เป็นบทเรียนอย่างดี และอาจจะเป็น “บทเรียนราคาแพง” สำหรับนักลงทุนบางคน เพราะการลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น คือการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนที่ “เหมาะสม" กับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ไม่ใช่การลงทุนที่ได้ผลตอบแทน “มากที่สุด” โดยที่ไม่รู้จักความเสี่ยงของตนเอง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
