Virtual Run คืออะไร? ดราม่าซีเกมส์ปลุกกระแส เทรนด์วิ่งออนไลน์ให้กลับมาอีกครั้ง

กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงบนโลกโซเชียลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกี่ยวกับโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์กิจกรรม “33rd SEA Games Virtual Run” ที่สร้างภาพขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยนอกจากกระแส
วิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีข้อดีที่ทำแฟนกีฬาหรือนักวิ่งทั่วไปหลายคนหันมา
ให้ความสนใจกับเทคโนโลยี Virtual Run ซึ่งจะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์วิ่งรูปแบบใหม่ในยุคที่
ใช้ชีวิตเร่งรีบ
Virtual Run คืออะไร?
Virtual Run หรือการวิ่งเสมือนจริง คือกิจกรรมวิ่งรูปแบบออนไลน์ที่ผู้เข้าร่วมสามารถ “เลือกวิ่งที่ไหน เมื่อไรก็ได้” โดยบันทึกระยะทางการวิ่งผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับหรือ Smart Watch แล้วส่งผลเพื่อยืนยันหรือสะสมระยะวิ่งเมื่อวิ่งครบตามที่กำหนดแล้วจะได้รับรางวัลและของที่ระลึกเหมือนงานวิ่งธรรมดา แต่จะแตกต่างที่ไม่ต้องไปรวมตัว ณ สถานที่จริงและแข่งขันในวันเวลาเดียวกัน
จริง ๆ แล้ว Virtual Run ไม่ได้เริ่มใช้ในงานซีเกมส์ 2025 เป็นครั้งแรก แต่มีต้นกำเนิดย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2006 เมื่อ Apple และ Nike จับมือกันพัฒนา “Nike+iPod Sport Kit” ภายใต้การนำของสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) และมาร์ค พาร์คเกอร์ (Mark Parker) โดยนำเซนเซอร์ขนาดเล็กติดในรองเท้าเพื่อบันทึกระยะทาง ความเร็ว และพลังงานที่เผาผลาญ แล้วซิงก์ข้อมูลเข้าสู่ iPod ขณะวิ่ง นวัตกรรมนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้ใช้และผู้จัดงานวิ่งทั่วโลกเริ่ม “เก็บระยะทางบนโลกออนไลน์” ผ่านระบบ Nike+ จนกลายเป็นคอมมูนิตี้นักวิ่งเสมือนจริงกลุ่มแรก ๆ ก่อนที่เทคโนโลยีสมาร์ตโฟน แอปวิ่ง และนาฬิกา GPS จะเข้ามาช่วยผลักดันให้ Virtual Run เติบโตจนแพร่หลายมาถึงทุกวันนี้
สำหรับกิจกรรม 33rd SEA Games Virtual Run ในครั้งนี้ มีการกำหนดกติกาให้ผู้สมัครจากกลุ่ม
ประเทศสมาชิกซีเกมส์ 11 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ บรูไน และติมอร์-เลสเต วิ่งสะสมระยะรวม 42 กิโลเมตร (42K) จากนั้นส่งผลวิ่งจาก Smart Watch เช่น Garmin, Suunto หรือ ภาพจากแอปพลิเคชันวิ่งบนโทรศัพท์มือถือ รวมไปถึงภาพถ่ายระยะวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า เพื่อให้ผู้เข้าร่วมมีโอกาสสะสมระยะได้ตามสะดวก เมื่อผู้เข้าร่วมวิ่งครบระยะจะได้รับเหรียญที่ระลึก “33rd SEA Games” พร้อมประกาศนียบัตร โดยมีช่วงเวลาการสะสมระยะวิ่งตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2568
แม้จะมีประเด็นดราม่าเป็นวงกว้างเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ แต่กระแสการวิ่งแบบ Virtual Run ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง เพราะตอบโจทย์ทั้งคนที่อยากเริ่มวิ่ง คนที่ไม่มีเวลาไปงานวิ่งจริง หรือคน
ที่ต้องการสะสมของที่ระลึกจากงานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นมหกรรมกีฬาระดับชาติ หรืองานวิ่งเพื่อการกุศล หากผู้จัดออกแบบกิจกรรมอย่างโปร่งใส มีข้อมูลครบถ้วน และสื่อสารอย่างเหมาะสม Virtual Run ก็ยังเป็นกิจกรรมที่น่าลองและเข้าถึงง่ายและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
