รีเซต

เมื่อ EV จีน ถูกมองเป็นภัยคุกคามหนักอุตสาหกรรมยานยนต์

เมื่อ EV จีน ถูกมองเป็นภัยคุกคามหนักอุตสาหกรรมยานยนต์
TNN ช่อง16
18 พฤศจิกายน 2568 ( 12:08 )
9

จิม ฟาร์ลีย์ (Jim Farley) ซีอีโอ ฟอร์ด (Ford) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐ ให้มุมมองถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน อาจเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ทั้งประหลาดใจเกินคาดหมาย หลังจากแยกชิ้นส่วนรถยนต์เทสลา และรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจยกเครื่องบริษัทใหม่ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น

โดยการแยกชิ้นส่วนรถยนต์ของบริษัทคู่แข่ง ถือเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง ฟาร์ลีย์ พบว่า รถ Mustang Mach-E ของฟอร์ด มีสายไฟมากกว่า เทสลา โมเดล 3 ถึง 1.6 กิโลเมตร (หรือเกือบ 1 ไมล์) และเมื่อแยกชิ้นส่วนรถยนต์ของคู่แข่งแบรนด์จีน ก็พบความน่าประหลาดใจนี้ เช่นเดียวกัน

นั่นทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยปี 2022 ได้ตั้งหน่วยงานใหม่ที่ชื่อว่า Model E เพื่อพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 

แต่ผลประกอบการปี 2024 หน่วยงานดังกล่าวขาดทุนไปมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ ฟาร์ลีย์ บอกว่า สถานการณ์ดังกล่าวเป็นที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ซึ่งการกระโดดเข้าสู่นวัตกรรม อีวี จะเป็นธุรกิจที่โหดร้าย อย่างแน่นอน

แต่เขาเชื่อว่า ต้องรับมือกับปัญหาที่ยากที่สุด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และบางครั้งต้องทำต่อหน้าสาธารณชนด้วย เพราะวิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น พร้อมเน้นย้ำไปยังผู้ถือหุ้นว่า จำเป็นจะต้องมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานรถยนต์ไฟฟ้าของฟอร์ด

นอกจากนี้ ยังได้ส่งสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับคู่แข่งจากจีน โดย ฟาร์ลีย์ กล่าวว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จีน ถือเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอด และมีศักยภาพเพียงพอที่จะยึดครองตลาดอเมริกาเหนือได้ รวมถึงอาจส่งผลกระทบทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ต้องปิดกิจการได้ด้วย

เขาเรียกผู้ผลิตรถยนต์จีนว่า เป็นบริษัทแพลตฟอร์มการผลิตที่ผสานซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์ และการผลิตจำนวนมากเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว และเหนือชั้น อีกทั้งต้นทุนก็ต่ำกว่าผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 30-40 ดังนั้น หากผู้ผลิตรถยนต์ในดีทรอยต์ ไม่สามารถลดช่องว่างตรงนี้ลงไปได้ อนาคตอุตสาหกรรมของอเมริกาก็อาจสั่นคลอน

ผู้บริหาร ฟอร์ด บอกด้วยว่า การออกมาพูดเรื่องนี้ ไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด หรือพูดให้เกิดความกลัว แต่ต้องการปลุกให้ทุกฝ่ายตื่นตัว 

โดยเปรียบเทียบในช่วงทศวรรษ 1980 ที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น เข้าไปเขย่าอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ด้วยคุณภาพ แต่ครั้งนี้จะหนักกว่ามาก ซึ่งอาวุธของจีนคือความเร็ว ราคา และเทคโนโลยี หากสร้างได้ไม่คุ้มค่ากว่า เร็วกว่า และฉลาดกว่า ตลาดก็อาจจะไม่ใช่ของเรา 

อย่างไรก็ตาม สำหรับฟอร์ด ยังคงเดินหน้าลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าอย่างหนัก โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประกาศว่าจะทุ่มเงินกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และปรับปรุงโรงงานในรัฐเคนทักกีที่ผลิตรถบรรทุก F-Series Super Duty ซึ่งตามแผนดังกล่าว มีรายงานว่าจะสร้างรถกระบะไฟฟ้าราคา 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027

ฟาร์ลีย์ กล่าวไว้ในพอดแคสต์ อีกว่า บริษัทฯ ไม่สามารถถอยออกจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปได้ ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อสหรัฐฯ เท่านั้น แต่บริษัทฯ ยังต้องการเป็นบริษัทระดับโลก และไม่คิดจะยกให้จีนไปง่าย ๆ 

ในขณะที่ ฮอนด้า ก่อนหน้านี้ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรตลอดทั้งปี โดยอ้างถึงต้นทุนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว, ปัญหาการขาดแคลนชิป และผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แต่นักวิเคราะห์มองว่า ความเร่งด่วนกว่าสำหรับฮอนด้า รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่น ๆ คือ ส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

รอยเตอร์ส อ้างอิงมุมมองจากแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์ บอกว่า ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทยและอินโดนีเซียนั้น การแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน อย่าง บีวายดี กำลังยากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น และเริ่มเห็นผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้น 

เห็นได้จากการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าจีนในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าโดดเด่นอย่างมาก

และข้อมูลของ ฮอนด้า พบว่าช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายปลีกในอินโดนีเซียลดลงไปเกือบร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนที่มาเลเซีย ลดลงไปร้อยละ 18 และ ในไทยลดลงไปร้อยละ 12

จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้ขณะนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังหันไปสนในตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่ยังคงปิดกั้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนอยู่ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ฮอนด้าประกาศว่า จะทำให้อินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก เป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งรุ่น เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย ในฐานะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์

เช่นเดียวกับ โตโยต้า และ ซูซูกิ ต่างก็มีแผนขยายการลงทุนเพิ่มในอินเดีย รวมกัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมศักยภาพด้านการผลิตและส่งออก 

Benchmark Mineral Intelligence  เผยข้อมูลยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเดือนตุลาคม 2025 และ ช่วง 10 เดือนแรกของปี พบว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าระหว่างเดือนมกราคม ถึงตุลาคม ปี 2025 หรือระยะ 10 เดือน มีจำนวน 16 ล้าน 5 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกตลาด ดังนี้

ยอดขายในจีน จำนวน 10 ล้าน 3 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ยอดขายในยุโรป จำนวน 3 ล้าน 4 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 32

ยอดขายในอเมริกาเหนือ จำนวน 1 ล้าน 6 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 และตลาดอื่นๆ มียอดขายรวมกัน 1 ล้าน 3 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48

เฉพาะเดือนตุลาคม ปี 2025 มียอดขายรวมทั่วโลก 1 ล้าน 9 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยุโรปเป็นผู้นำการเติบโต ที่ร้อยละ 36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในเยอรมนี เพิ่มขึ้นร้อยละ 53, ฝรั่งเศส เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นร้อยละ 24

ส่วนจีนยังคงแข็งแกร่งด้วยยอดขาย 1 ล้าน 3 แสนคัน ในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากเทียบเป็นรายเดือนชะลอตัวลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 2

อเมริกาเหนือมียอดขายชะลอตัวลงในเดือนตุลาคม เพราะเดือนกันยายน มีการเร่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อใช้ประโยชน์จากเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2568 

ด้าน ชาร์ลส์ เลสเตอร์ (Charles Lester) ผู้จัดการฝ่ายข้อมูลของ Rho Motion กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสะสมทะลุที่จำนวน 16 ล้าน 5 แสนคันนั้น เป็นการสะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในเชิงโครงสร้างทั่วตลาดหลัก รวมถึงการที่รถยนต์ไฟฟ้าราคาเข้าถึงได้ และขนาดกลางได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง