รีเซต

เปิดปัจจัยเสี่ยงทุบ “จีดีพี” ปี 2569

เปิดปัจจัยเสี่ยงทุบ “จีดีพี” ปี 2569
TNN ช่อง16
4 ธันวาคม 2568 ( 11:17 )
18

เมื่อเร็วๆ นี้ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า “เศรษฐกิจไทย” ถือว่ากินบุญเก่ามานาน เพราะที่ผ่านมา ไม่มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น รวมทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกกว่าร้อยละ 60-70 เมื่อมีปัญหาเรื่องภาษีสหรัฐฯ เศรษฐกิจไทยจึงมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก

นอกจากนี้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังลดลงอย่างต่อเนื่อง เคยโตเฉลี่ยร้อยละ 7 ก่อนปี 2540 ลดเหลือร้อยละ 5 หลังปี 2540 โดยปีนี้คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 2

ซึ่งสอดคล้องกับ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดที่การเติบโตต่ำลงมาก ในอดีตก่อนโควิด-19 เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตได้ ร้อยละ 4-5 ต่อปี 

แต่ปัจจุบันคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 2.1 และคาดการณ์ปี 2569 จะเติบโตที่ ร้อยละ 1.6 

ถือว่าเป็นภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบไม่กระจายตัว จึงเป็นความกังวลว่าจะเป็น ความปกติใหม่ หรือ New Normal ที่ระดับการเติบโตใหม่ของไทยจะอยู่เพียงประมาณร้อยละ 2 ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเป็นเช่นนั้น

ในขณะที่นักวิชการ มองว่า ตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 เศรษฐกิจไทยกลับไปโตยากมาก การจะกลับไปขยายตัวที่ร้อยละ 2 ทำได้ลำบาก 

แต่ปัจจัยที่น่ากังวลนั้น ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าเมื่อเทียบกับอดีต แต่ไทยกำลังเติบโตช้าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ประเทศไทยกำลังถูกขนานนามว่าเป็น “คนป่วยคนใหม่ของเอเชีย” และคาดว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า ตัวเลข GDP ของไทยจะตกลงมาอยู่ที่อันดับ 5 ของอาเซียน จากปัจจุบันอยู่อันดับ 2

ดังนั้น การที่จะทำให้เศรษฐกิจสามารถโตเกินร้อยละ 2 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าจะต้องเร่งรีเซ็ท 4 ประเด็นหลัก คือ 1. การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผันผวนเห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงระยะหลังซึ่งมีความผันผวนสูง  

2.เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แม้ว่าภาคธนาคารและทุนสำรองระหว่างประเทศจะมีความเข้มแข็งมากหลังวิกฤตปี 2540 โดย NPL เหลือไม่ถึง ร้อยละ 3 และทุนสำรองมากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 2.5 เท่า 

แต่จุดอ่อนสำคัญคือ เสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายช่วงโควิด ทำให้ถูก Rating Agency เตือน ซึ่งเราแก้โดยทำแผนเรื่องการคลังระยะปานกลาง เพื่อลดการขาดดุลให้ต่ำลงเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายต่ำกว่าร้อยละ 3 ของจีดีพีให้ได้ภายในปี 2572

3.สังคมสูงวัยและความเหลื่อมล้ำตัวอย่างที่ชัดเจนคือ คนไทยกลุ่มที่มีรายได้ดีที่สุดร้อยละ 20 สุดท้าย กินสัดส่วนรายได้ของประเทศ (GDP) ถึงร้อยละ 50 ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยที่สุดร้อยละ 20 แรก กินสัดส่วนรายได้เพียงร้อยละ 6 นอกจากนี้ เงินฝากในธนาคารที่เกิน 1 ล้านบาท มีเพียงร้อยละ 1.6 ของคนไทย แต่กินสัดส่วนเงินฝากถึงกว่าร้อยละ 80

4. ปัญหาสิ่งแวดล้อมและโลกร้อน ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการลงทุนของไทย จะต้องมุ่งไปที่ธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก เช่น พลังงานสะอาด (Green Energy) เป็นต้น 

รวมทั้งผลักดันปี 2569 ให้เป็น “ปีแห่งการลงทุน”

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 ปัจจุบันนักวิชาการ และภาคเอกชน ต่างออกมาประเมินตัวเลข คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2569 เช่น  นางพิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ที่ระบุว่า ปี 2569 กำลังจะเป็นอีกหนึ่งปี ที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงปะทะจากรอบด้าน 

ทั้งแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ ตลอดจนความเปราะบางเชิงโครงสร้างภายในประเทศ

โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเติบโตเพียงร้อยละ 1.8 ชะลอลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 เนื่องจากเครื่องยนต์สำคัญหลายด้านมีแนวโน้มแผ่วลง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ

ส่วนศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 คาดว่าจะเติบโตแบบชะลอตัวอยู่ในกรอบระหว่างร้อยละ 0.9-2.0 โดยมีค่ากลางอยู่ที่ ร้อยละ 1.6

ซึ่งสอดคล้องกับนายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร (KKP) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวได้ราวร้อยละ 1.6-1.8 

ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตช้า โดยเติบโตลดลงจากปีนี้ ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ร้อยละ 2 และมองว่า ปี 2569 ยังเป็นปีแห่งทางแยกของเศรษฐกิจไทย ที่มีความท้าทายจากปัจจัยภายใน และภายนอก ซึ่งไทยจะต้องเร่งสร้างเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ 

ส่วนทางฝั่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2569 เติบโตที่ร้อยละ 2 หลังมองว่าการส่งออกช่วงต้นปีน่าจะชะลอตัวลงหลังจากมีการแร่งส่งออกในปี 2568 เพื่อลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ที่จะบังคับใช้ 

สำหรับ “ปัจจัยเสี่ยง” ที่ต้องระมัดระวังในปี 2569 นั้นภาคเอกชนต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่าจะมีทั้งหมด 4 เรื่องได้แก่  

1.ภาคการส่งออก ที่มีความเสี่ยงพลิกกลับมาหดตัวร้อยละ 0.1 ลดลงจากปี 2568 ที่คาดว่าเติบโตได้ร้อยละ 11 เนื่องจากปัญหากำแพงภาษีสหรัฐจะเริ่มกระทบชัดเจนแบบเต็มปี 

และยังมีความเสี่ยงจากมาตรการตอบโต้การสวมสิทธิ (Transshipment) ที่อาจสูงถึงร้อยละ 40 หากไทยเจรจาข้อตกลงต่างๆ ไม่สำเร็จเช่น เรื่องสัดส่วนการใช้โลโค่คอนเทนต์เป็นร้อยละ 50-60 เป็นต้น 

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่มาตรการภาษีศุลกากรอาจครอบคลุมเพิ่มเติมไปยังสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยด้วย

2.ปัจจัยเรื่องการเมืองไม่นิ่งจากการยุบสภาและการเลือกตั้ง อาจจำกัดความสามารถของรัฐบาลรักษาการในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 

และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยหากจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า อาจเกิดสุญญากาศงบประมาณปี 2570 อาจล่าช้า 3 เดือน อาจฉุดให้จีดีพีให้ลดลงร้อยละ 0.32 หรือทำให้เม็ดเงินหายไปจากจีดีพี 135,349 ล้านบาท

3.ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนที่ยังสูงกว่าร้อยละ 80 ของ GDP จะมีส่วนกดดันให้สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ซึ่งอาจทำให้สินเชื่อครัวเรือนทรงตัว 0% เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของการบริโภคและลงทุนของเอสเอ็มอีในอนาคตได้ 

และ 4.ปัญหาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ไทย-กัมพูชา ยังคงมีความเสี่ยง เพราะหากมีการปิดชายแดนตลอดทั้งปี 2569 จะสร้างความเสียหายต่อมูลค่าส่งออกไทยกว่า 140,000 ล้านบาท และกระทบจีดีพีประมาณร้อยละ 0.74



ส่วน “ปัจจัยบวก” ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2569 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมองว่า มีทั้งหมด 5 เรื่อง คือ 

1.ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยจำนวน35 ล้านคน และสร้างรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท

2. อุปสงค์ในประเทศขยายตัว โดยพาะการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน คาดว่า จะขยายตัวที่ร้อยละ2 จากมาตรการที่รัฐบาลเดินหน้าออกมา 

3. งบลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ18.2 โดยมีเป้าเบิกจ่ายงบลงทุนสูงถึงร้อยละ70 ในงบประมาณรายจ่ายปี 2569

4. ภาคเกษตรได้ประโยชน์จากสภาพอากาศมีความเป็นกลางและปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับทำการเพาะปลูกรอบใหม่ 

5. เม็ดเงินจากการเลือกตั้ง หลังจากรัฐบาลยุบสภาในเดือนมกราคม 2569 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 50,000-60,000 ล้านบาท

ดังนั้นในปี 2569 "เศรษฐกิจไทย" ยังมีความท้าทายหลายเรื่องที่ต้องจับตามอง ทั้งภาคการส่งออก การเมือง และปัญหาเชิงโครงสร้าง  และมองว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทจำเป็นต้องอาศัยมาตรการเสริม และการปรับโครงสร้างอย่างจริงจังเพื่อรองรับความท้าทายในระยะต่อไป


ข่าวที่เกี่ยวข้อง