รีเซต

ย้อนเส้นทาง 23 ปี : ผ่านอุปสรรค สู่ 'สมรสเท่าเทียม' จารึกประวัติศาสตร์ชาติแรกในอาเซียน

ย้อนเส้นทาง 23 ปี : ผ่านอุปสรรค สู่ 'สมรสเท่าเทียม' จารึกประวัติศาสตร์ชาติแรกในอาเซียน
TNN ช่อง16
27 มีนาคม 2567 ( 20:26 )
80
ย้อนเส้นทาง 23 ปี : ผ่านอุปสรรค สู่ 'สมรสเท่าเทียม' จารึกประวัติศาสตร์ชาติแรกในอาเซียน


นี่คือเรื่องราว 'ความก้าวหน้า' สำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีกฎหมายรองรับการสมรสของคู่เพศเดียวกัน เปิดประตูสู่การปลดล็อกข้อจำกัดทางสังคมและเคารพสิทธิความเสมอภาคของบุคคลทุกเพศสภาพ แม้เส้นทางสู่จุดนี้ต้องผ่านการถกเถียงและต่อสู้อย่างยาวนาน แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยเปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น TNN จะพามาติดตามรายละเอียดการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้พร้อมกัน 


ไทยก้าวสู่การเป็นประเทศแรก ในอาเซียนที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม


วันนี้ (27 มีนาคม 2567) ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม" ด้วยคะแนนเสียง 400 ต่อ 10 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 3 เสียง  (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง กฎหมายสมรสเท่าเทียม ผ่านฉลุย! สภาฯ เห็นชอบผ่าน วาระ 3)



การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ ทำให้ไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศที่สามในเอเชียที่มีกฎหมายรองรับการสมรสของคู่เพศเดียวกัน ต่อจากไต้หวันและเนปาล และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎหมายดังกล่าว ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาคของกลุ่มบุคคลเพศทางเลือก


ขั้นตอนต่อไป สภาจะส่งร่างพระราชบัญญัตินี้ให้วุฒิสภาพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 หากผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป


การพิจารณาร่างกฎหมายนี้ใช้เวลานานถึง 12 ครั้งการประชุม โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณารายมาตราจนจบทั้งสิ้น 68 มาตรา มีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็นถึง 14 มาตรา แสดงให้เห็นถึงการถกเถียงและไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนการผ่านร่างกฎหมายในที่สุด




ตีตก ‘บุพการีลำดับแรก’ ชี้ขัด รธน. – ก่อปัญหาตีความ


ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร กรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้ลุกขึ้นชี้แจงประเด็นที่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยเสนอให้เพิ่มคำว่า "บุพการีลำดับแรก" เข้าไปในร่างกฎหมาย โดยระบุว่าถ้อยคำดังกล่าวยังไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่างเป็นทางการ และไม่ได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนตามกระบวนการมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ


นายเกิดโชคยังชี้ว่า หากเพิ่มคำว่า "บุพการีลำดับแรก" เข้าไปในร่างกฎหมาย อาจทำให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและอาจส่งผลให้ร่างกฎหมายตกไปทั้งฉบับ เนื่องจากคำนี้ไม่เคยมีมาก่อนในระบบกฎหมายไทย จึงอาจก่อให้เกิดปัญหาในการตีความว่าครอบคลุมระดับใด และอาจส่งผลกระทบต่อระบบกฎหมายทั้งหมดของประเทศ


เหตุตีตกข้อเสนอให้เพิ่มคำว่า "บุพการีลำดับแรก" ในร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ดังนี้:


1. ความละเอียดอ่อนและผลการศึกษา:


เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ยังไม่มีผลศึกษาผลกระทบอย่างเป็นทางการของคำว่า "บุพการีลำดับแรก"


2. การรับฟังความคิดเห็น:


กังวลว่ายังไม่ได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้


3. ผลกระทบต่อกฎหมาย:


การเพิ่มคำนี้เข้าไป อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและทำให้กฎหมายตกไปทั้งฉบับ

"บุพการีลำดับแรก" เป็นคำใหม่ ยังไม่มีในระบบกฎหมายไทย

อาจเกิดปัญหาในการตีความ ส่งผลต่อกฎหมายเกี่ยวกับบิดามารดา

การแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทย จะเป็นผลกระทบที่รุนแรง


4. แนวทางแก้ไข:


เสนอแก้ไขเฉพาะกฎหมายที่จำเป็น เพื่อรองรับสิทธิ์ต่าง ๆ

เน้นไปที่กฎหมายการรับบุตรบุญธรรม และ กฎหมายคุ้มครองเด็ก ที่อาศัยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์




การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นผลจากการต่อสู้เรียกร้องอย่างยาวนานของกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ โดยพรรคก้าวไกลได้นำประเด็นนี้มาบรรจุเป็นนโยบายหลักนับตั้งแต่สมัยที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ และได้สานต่อจนบรรลุผลในที่สุด หลังจากการเดินทางอันยาวนาน


อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่จุดนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยระหว่างการพิจารณามีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็นถึง 14 มาตรา แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของมุมมองและการโต้แย้งอย่างสุจริต จากนี้ร่างกฎหมายยังต้องผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาอีก 3 วาระ ซึ่งอาจมีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือส่งกลับมายังสภาผู้แทนราษฎรได้ตามขั้นตอนที่กำหนด


แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง แต่การผ่านวาระสำคัญของร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวันนี้ ย่อมเป็นก้าวสู่การปลดล็อกข้อจำกัดทางสังคมและเปิดโอกาสให้บุคคลทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสรีและมีความสุขตามวิถีของตนเองอย่างแท้จริง



ย้อนรอยเส้นทางสู่สมรสเท่าเทียม 


ในปี 2544 สมัยรัฐบาลยุคนายทักษิณ ชินวัตร เคยมีแนวคิดเรื่อง "สมรสเท่าเทียม" ผ่านรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย แต่ถูกต่อต้านจากกระแสสังคมอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงมองว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ จึงยุติแนวคิดดังกล่าวไป


สาเหตุหลักที่สังคมไทยไม่เห็นด้วยกับสมรสเท่าเทียมในเวลานั้น


ค่านิยมแบบดั้งเดิม: สังคมไทยในอดีตมีค่านิยมแบบดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับ "ครอบครัว" ที่ประกอบไปด้วย "ชาย-หญิง"

ความเชื่อทางศาสนา: หลายศาสนาในประเทศไทยไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน

ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง: ผู้คนบางกลุ่มกังวลว่าการยอมรับสมรสเท่าเทียมจะส่งผลต่อโครงสร้างครอบครัว



ชัยชนะของ 'ความรัก' เหนืออคติ


อย่างไรก็ตาม ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก ประชาชนเริ่มเปิดกว้างและยอมรับ LGBTQ+ มากขึ้น ประกอบกับมีการรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวคิดเรื่อง "สมรสเท่าเทียม" กลับมาได้รับการสนับสนุนอีกครั้ง


พ.ศ. 2563: พรรคอนาคตใหม่ (ปัจจุบันคือพรรคก้าวไกล) เสนอร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เข้าสู่สภาฯ

17 พ.ย. 2564: ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ป.พ.พ. มาตรา 1448 ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่รัฐสภาควรตรากฎหมายรองรับสิทธิของบุคคล LGBTQ+

9 ก.พ. 2565: ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ถูกบรรจุในวาระสภาฯ แต่ถูกชะลอการลงมติ 60 วัน

7 มิ.ย. 2565: รัฐบาลสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต แทนร่างสมรสเท่าเทียม เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ #ไม่เอาพรบคู่ชีวิต

15 มิ.ย. 2565: สภาฯ รับร่างสมรสเท่าเทียม และร่างคู่ชีวิต ในวาระที่ 1

20 มี.ค. 2566: ยุบสภาฯ ร่างกฎหมายที่ค้างอยู่ถูกปัดตก

9 ส.ค. 2566: พรรคก้าวไกลยื่นร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศ 9 ฉบับ หนึ่งในนั้นคือร่างสมรสเท่าเทียม

21 ธ.ค. 2566: สภาฯ รับหลักการร่างสมรสเท่าเทียม ในวาระที่ 1 ด้วยคะแนน 369 เสียง

27 มี.ค. 2567: สภาฯ โหวตผ่านร่างสมรสเท่าเทียม ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 400 เสียง



สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม 


การแก้ไขมาตรา 1448 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเปลี่ยนคำนามที่ระบุเพศชัดเจน เช่น "ชาย-หญิง" "สามี-ภรรยา" เป็นคำนามที่ไม่ระบุเพศ ได้แก่ "บุคคล" "คู่สมรส" "ผู้หมั้น" และ "ผู้รับหมั้น" ทำให้บุคคลทุกเพศสามารถหมั้นและสมรสกันได้ ให้สิทธิแก่คู่หมั้นหรือคู่สมรสทุกเพศอย่างเท่าเทียมกัน ในด้านต่างๆ เช่น


การดูแลกันและกัน

การลงนามรักษาพยาบาล

การดำเนินคดีแทนคู่สมรส

สิทธิประกันสังคม

สวัสดิการข้าราชการในฐานะคู่สมรส

การรับบุตรบุญธรรม

การจัดการทรัพย์สินร่วมกัน

สิทธิลดหย่อนภาษี

แก้ไขอายุขั้นต่ำสำหรับการสมรสจากเดิม 17 ปี เป็น 18 ปี ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก

กำหนดให้ร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ภายหลัง 120 วันนับแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา


สรุปได้ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อขยายสิทธิในการสมรสและการอยู่ร่วมกันให้ครอบคลุมทุกเพศสภาพ โดยไม่จำกัดเฉพาะเพศชายและเพศหญิงเท่านั้น พร้อมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ให้มีความเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่คู่สมรสทุกคู่






การผ่านร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมของสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ เป็นผลสำเร็จจากการต่อสู้เรียกร้องอย่างยาวนานของกลุ่มสนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากผ่านการถกเถียงอย่างรอบคอบจนสามารถผ่านวาระสำคัญไปได้ในที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาในการพิจารณาจากวุฒิสภาอีกระยะหนึ่ง แต่ก็นับเป็นก้าวสู่การเปิดโอกาสให้บุคคลทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสรีและมีความสุขตามวิถีของตนเองอย่างแท้จริง


ความสำเร็จในครั้งนี้ย่อมเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในการเรียกร้องสิทธิอื่นๆ เพื่อให้ได้รับความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในสังคมอย่างแท้จริง เช่น สิทธิในการรับรองเด็กบุญธรรม การคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น หากกระบวนการนี้ดำเนินไปด้วยดี ไทยก็จะก้าวสู่การเป็นสังคมแห่งความเท่าเทียมและการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง



ภาพ : Getty Images 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง