UACตั้งเป้าEBITDAเกิน20% ลุ้นผลโรงไฟฟ้าชุมชุนก.ย.นี้

ทันหุ้น – UAC รอประกาศผลโรงไฟฟ้าชุมชนเพิ่ม 4 โครงการ ราว 12 เมกะวัตต์ ภายในเดือนกันยายนนี้ และเตรียมก่อสร้างโครงการจัดการขยะสปป.ลาว เฟส 2 “ชัชพล ประสพโชค” การันตีรายได้โตเฉลี่ย 15% ต่อปีจนถึงปี 2567 % และตั้งเป้า EBITDA มากกว่า 20% ของรายได้
นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยการนำ Business model ใหม่ อาทิ การทำ Consulting Service พร้อมทั้งพยายามรักษาการให้บริการและฐานะลูกค้าให้ดีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ภายใต้นโยบายการลงทุนด้าน Energy Efficiency และ Bio Circular Economy ทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนขณะนี้ได้ผ่านคุณสมบัติและข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิคของการไฟฟ้าภูมิภาคแล้ว จำนวน 2 โครงการ ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมราว 6 เมกะวัตต์ และยังรอการพิจารณาอีก 4 โครงการประมาณ 12 เมกะวัตต์ หลังจากที่บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ไปก่อนนี้ ซึ่งคาดว่าจะทราบผลชัดเจนภายในเดือนกันยายนนี้
สำหรับแผนความคืบหน้าโครงการจัดการขยะ เพื่อผลิตพลังงานทดแทนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ที่นำกลับมาใช้ใหม่ที่นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว นั้น การลงทุนในเฟสแรก ในโครงการบริหารจัดการขยะได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า 98% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ตามแผนที่วางไว้ในปี 2564 นี้ และหลังจากนั้นบริษัท จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าขยะ ขนาด 6 เมกะวัตต์ ในเฟสที่ 2 เป็นลำดับต่อไป
*ตั้งเป้ารายได้ 15% ต่อปี
โดยบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ 15% ต่อปีไปจนถึงปี 2567 หรือมีรายได้เเตะ 3,000 ล้านบาท และตั้งเป้าอัตราส่วนที่เปรียบเทียบระหว่างกำไรสุทธิกับส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่มากว่า 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 18% และตั้งเป้า EBITDA มากกว่า 20% ของรายได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าปัจจุบันจะอยู่ในภาวะของการแพร่ระบาด โควิด-19 เนื่องจากลักษณะของกลุ่มลูกค้าของบริษัท เช่นกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้ง กลุ่มพลังงาน และกลุ่มเคมีภัณฑ์ ยังดำเนินธุรกิจได้อย่างปกติ
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2565 บริษัทยังเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้ในทุกด้าน ทั้งในกลุ่มเทรดดิ้ง ที่มีลูกค้าปิโตรเคมี กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ที่คาดว่าจะฟื้นตัวกลับมา หากประเทศไทยสามารถแก้ปัญหา โควิด-19 ได้ โดยเชื่อว่าสถานการณ์โควิด-19 จะจบภายในปลายปีนี้ และในปีหน้าก็จะเป็นปีที่ดีของประเทศไทย
สำหรับธุรกิจไบโอดีเซล ที่บริษัทได้ร่วมทุน บจ.บางจากไบโอฟูเอล (BBF) หากเศรษฐกิจในประเทศกลับมาเติบโต และความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลกลับมา ก็จะเป็นแรงบวกให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในปีนี้มีการผลิต รีไฟน์กลีเซอรีน ซึ่งจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี” นายชัชพล กล่าว
*ผลงานQ2 เติบโตดี
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 374.92 ล้านบาท โดยกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 68.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.56% มากกว่างวดเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรักษาความคงที่ของ Gross Margin ไว้ได้ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 18.23% ทั้งนี้เป็นผลจากการฟื้นตัวของธุรกิจเทรดดิ้ง ตามภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงต้นปีที่ยังคงเป็นปัจจัยเชิงบวก ส่งผลให้มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น จาก Backlog ของธุรกิจเทรดดิ้งที่มีเข้ามาในช่วงครึ่งปีแรกกว่า 250 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกราว 230 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ขณะเดียวกันบริษัทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรสุทธิ และการเงินปันผลปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2563 จากบริษัทร่วมทุน บจ.บางจากไบโอฟูเอล (BBF) จำนวน 119.92 ล้านบาท ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจำหน่ายและราคาขายเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการใช้นำมันดีเซลในภาคการขนส่งภาคการเกษตร ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบในช่วงที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับสูงขึ้น