ลูกสาวทูตถูกฆ่าตัดศีรษะ ฝีมือทายาทตระกูลใหญ่ คดีเขย่าสังคมปากีฯ
ลูกสาวทูตถูกฆ่าตัดศีรษะ - ซีเอ็นเอ็น รายงานเจาะลึกคดีสะเทือนขวัญในปากีสถาน จุดกระแสเรียกร้องให้ปฏิรูปกฎหมายคุ้มครองสิทธิสตรีอีกครั้ง เมื่อลูกสาวนักการทูตถูกทายาทผู้ทรงอิทธิพลสังหาร และตัดศีรษะ
น.ส.นูร์ มูคาดัม อายุ 27 ปี ถูกสังหารเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2564 ผู้ต้องหาคือนายซาฮีร์ จาฟเฟอร์ อายุ 30 ปี ลูกชายตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในปากีสถาน ก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหดในบ้านพักย่านบล็อก 7 ย่านที่พักอาศัยของคนรวยในกรุงอิสลามาบัด
ตำรวจจับกุมนายจาฟเฟอร์ได้ในที่เกิดเหตุและตั้งข้อหาทำร้ายร่างกาย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ยังไม่ทราบแรงจูงใจที่ทำให้นายจาฟเฟอร์ก่อเหตุสะเทือนขวัญ
ส่วนพ่อแม่ของจาฟเฟอร์ ผู้สืบทอดกิจการการค้าของตระกูลเก่าแก่ที่สุดในปากีสถานและเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่หลายบริษัทถูกจับกุมเช่นกันและถูกตั้งข้อหาปกปิดหลักฐานและยุยงให้ผู้อื่นกระทำความผิดทางอาญา แต่ทั้งคู่ได้ประกันตัว ซึ่งทนายของทั้ง 2 คนกล่าวว่าลูกความประณามผู้ลงมือและไม่ได้เข้าข้างลูกชาย
ด้านครอบครัวผู้สูญเสีย นายเชาคัต มูคาดัม นักการทูตปากีสถานและอดีตเอกอัครราชทูตปากีสถานประจำเกาหลีใต้และไอร์แลนด์ กล่าวว่าลูกสาวเกิดที่จอร์แดน เป็นศิลปินและเป็นหญิงสาวหัวใจอ่อนโยนผู้รักสัตว์และสร้างเสียงหัวเราะให้ครอบครัว
ลูกสาวทูตถูกฆ่าตัดศีรษะ คดีจุดชนวน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายมูคาดัมและภรรยาออกไปซื้อของก่อนวันอีด เมื่อกลับถึงบ้านช่วงเย็น ไม่เห็นลูกสาวจึงโทรศัทพ์ แต่ติดต่อไม่ได้เพราะโทรศัพท์มือถือของลูกสาวปิดเครื่อง
ส่วนตำรวจกล่าวว่า น.ส.นูร์โทรศัพท์ถึงพ่อแม่ในคืนนั้นและกล่าวว่าเดินทางไปเมืองละฮอร์กับเพื่อนๆ
บ่ายวันรุ่งขึ้น ครอบครัวมูคาดัมได้รับแจ้งจากนายจาฟเฟอร์ว่าน.ส.นูร์ไม่ได้อยู่กับเขา แต่หลังจากนั้นหลายชั่วโมง ตำรวจโทรศัพท์แจ้งว่าน.ส.นูร์ถูกฆาตกรรมและขอเชิญนายมูคาดัมไปที่สถานีตำรวจ ก่อนพาไประบุอัตลักษณ์ของลูกสาวที่บ้านพักของครอบครัวจาฟเฟอร์
คดีดังกล่าวทำให้ชาวปากีสถานติดแฮชแท็กบนทวิตเตอร์ #JusticeforNoor หรือ #มอบความยุติธรรมให้นูร์ และระดมทุนผ่านเว็บไซต์ GoFundMe เพื่อเรี่ยไรเงินเป็นค่าธรรมเนียมฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายได้เกือบ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,600,000 บาทเพราะคาดว่ากระบวนการยุติธรรมจะต้องใช้เวลานาน แม้มีหลักฐานแวดล้อมแน่นหนาและมีหลักฐานทางนิติเวชชัดเจนก็ตาม
ลุ้นสภาผ่านกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว
รายงานองค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมน ไรตส์ วอตช์ ปีที่แล้วระบุว่าความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นปัญหารุนแรงในปากีสถาน
ส่วนผลสำรวจด้านสาธารณสุขและประชากรปากีสถานระหว่างปี 2560-2561 พบว่าผู้หญิงร้อยละ 28 อายุระหว่าง 15-49 ปีเคยถูกทำร้ายร่างกายตั้งแต่อายุ 15 ปี
แต่ตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้เพราะหลายคนไม่กล้าแจ้งตำรวจเพราะคิดว่าเป็นการปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ถือว่าผู้ชายเป็นใหญ่
ด้านน.ส.ซาฮาร์ บันเนียล นักกฎหมายและนักรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีกล่าวว่าความรุนแรงในบ้านไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลระหว่างคู่สมรสและครอบครัว พร้อมกล่าวว่าปากีสถานยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองผู้หญิงในระดับประเทศ เว้นแต่บางจังหวัดมีกฎหมายของตัวเอง
ขณะที่ น.ส.นิกัต ดัด นักกฎหมายและผู้ก่อตั้งมูลนิธิสิทธิดิจิทัลกล่าวว่านโยบายจากบนลงล่างเป็นระบบที่กีดกันไม่ให้ผู้รอดชีวิตฟ้องคดีและกระบวนการทั้งหลายทำให้ผู้เสียหายได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความหวังหนึ่งที่จะบรรเทาความทุกข์ของผู้หญิงชาวปากีสถาน คือ ร่างกฎหมายคุ้มครองผู้หญิงจากความรุนแรงในครอบครัวซึ่งจะมีบทลงโทษให้ผู้กระทำผิดถูกปรับหรือจำคุกฐานล่วงละเมิดสตรี เด็ก หรือผู้อ่อนแอ
ร่างกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อวันที่ 19 เม.ย. และผ่านวุฒิสภาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. หากประธานาธิบดีอนุมัติก็จะออกเป็นกฎหมาย
หากผ่านเป็นกฎหมายก็จะใช้คุ้มครองเด็ก ผู้หญิงและกลุ่มเปราะบางในกรุงอิสลามาบัด
อุปสรรคใหญ่ ต้องผ่านสภาอิสลาม
โฆษกรัฐสภาประกาศเมื่อต้นเดือน ก.ค. เมื่ ว่าจะต้องให้สภาอิสลามพิจารณาร่างกฎหมายเสียก่อน ซึ่งนั่นอาจเป็นอุปสรรคใหญ่ ทำให้นักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวลุ้นหนักว่าสภาอิสลามจะใช้อิทธิพลยับยั้งร่างกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากสภาอิสลามมีสมาชิกชายล้วนและเมื่อปี 2559 เคยผ่านร่างกฎหมายอนุญาตให้ผู้ชาย “เฆี่ยนตีเบาๆ” ภรรยาได้
ขณะที่ชาวปากีสถานในบ้านเกิดของ น.ส. นูร์ รวมตัวประท้วงและจัดพิธีไว้อาลัย จุดเทียนขาวและวางดอกกุหลาบล้อมรูปภาพของน.ส.นูร์
จากนั้น ก็เกิดการประท้วงในหลายเมืองทั่วโลก ทั้งกรุงดับลินในไอร์แลนด์ นครลอสแองเจลิส นครนิวยอร์กในสหรัฐ กรุงลอนดอนในอังกฤษ และเมืองโทรอนโท ในแคนาดาเพื่อรำลึกถึง น.ส.นูร์และต่อต้านการสังหารผู้หญิงในปากีสถาน
ด้าน น.ส.ซารา มูคาดัม พี่สาวของ น.ส.นูร์กล่าวว่าน้องสาวเป็นคนดีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกซึ่งตนและคนอื่นๆ หวังว่าการจากไปของ น.ส.นูร์ จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงในที่สุด
ส่วนพ่อของ น.ส. นูร์ กล่าวว่าคดีนี้ไม่ใช่เพียงสังหารลูกสาวตนเท่านั้น แต่ชาวปากีสถานต้องการความยุติธรรมเพื่อลูกสาวของชาวปากีสถานทุกคน