ชิลี เริ่มทดลองวัคซีนโควิดของ “แอสตราเซเนกา” ขั้นสุดท้าย

วันนี้( 5 ธ.ค.63) ชิลีเริ่มการทดลองวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดของอังกฤษ ร่วมกับบริษัทยาแอสตราเซเนกา โดยเป็นการทดลองทางคลีนิกในมนุษย์ขั้นสุดท้าย อาสาสมัครชุดแรกที่เริ่มรับวัคซีนทดลองขั้นสุดท้าย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 1,500 คน โดยจะมีอาสาสมัครทั้งหมด 3,000 คน ที่จะได้รับวัคซีนทดลองของแอสตร้าเซเนกา

คณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชิลี เป็นผู้ฉีดวัคซีนให้แก่อาสาสมัครชุดแรกเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลซานโฮเซ่ ในกรุงซานติอาโก้ เมืองหลวงของชิลี โดยการเลือกฉีดวัคซีนทดลองให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ก่อนนั้น เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อ จากการปฏิบัติหน้าที่รักษาผู้ป่วยโควิด

ชิลี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 รุนแรงที่สุดในโลก ได้ประกาศแผนการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ถึง 4 ตัว หากวัคซีนเหล่านั้นได้รับการอนุมัติ โดยจะซื้อวัคซีนของแอสตร้าเซเนก้าเป็นจำนวน 14 ล้าน 4 แสนโดส , วัคซีนของบริษัทซิโนวัคของจีนอีก 60 ล้านโดสนาน 3 ปี โดยวัคซีน 2 ตัวนี้ ทำการทดลองขั้นสุดท้ายในชิลีด้วย และยังสั่งซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทคอีก 10 ล้านโดส

นอกจากนี้ชิลียังตกลงจะซื้อวัคซีนโควิดอีก 7 ล้าน 6 แสนโดส ผ่านทางโครงการวัคซีนโลก “โคแวกซ์” ขององค์การอนามัยโลก หรือ ดับเบิลยูเอชโอ ซึ่งจะดูแลการแจกจ่ายวัคซีนให้ทั่วถึงไปทั่วโลก โดยดับเบิลยูเอชโอ ร่วมกับองค์กรพันธมิตรวัคซีน “กาวี” ที่ก่อตั้งโดยบิล เกตส์ ร่วมกันดูแลโครงการโคแวกซ์

ส่วนทางด้านประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปินเอร่าของชิลี เพิ่งประกาศแผนการฉีดวัคซีนโควิดว่า จะฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อก่อน และจะฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนฟรี และไม่บังคับให้ต้องฉีด แต่ให้เป็นไปตามความสมัครใจ

สำหรับสถานการณ์โควิด19 ในชิลี เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดรุนแรงมากที่สุดในโลก โดยเกิดการระบาดสูงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นอัตราการระบาดและการเสียชีวิตได้ลดลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้ชิลีเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

ส่วนสถานการณ์ระบาดล่าสุดในชิลี ผู้ติดเชื้อมากกว่า 557,000 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตมากกว่า 15,500 คน

เกาะติดข่าวที่นี่