รีเซต

“โดรนพลีชีพ” ภัยคุกคามสงครามรูปแบบใหม่ที่กำลังเปลี่ยนสมการสงคราม

“โดรนพลีชีพ” ภัยคุกคามสงครามรูปแบบใหม่ที่กำลังเปลี่ยนสมการสงคราม
TNN ช่อง16
12 ธันวาคม 2568 ( 16:19 )
14

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “โดรนพลีชีพ” หรือโดรนแบบมองมองบุคคลที่หนึ่ง (First Person View) ได้ยกระดับขึ้นเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญในสงครามยุคใหม่ ดังที่ประจักษ์ในความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน และล่าสุดในเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยคุณลักษณะที่มีต้นทุนต่ำแต่ทรงอานุภาพในการทำลายล้างสูง โดรนประเภทนี้จึงถูกขนานนามว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกม (Game Changer) ในสมรภูมิ ส่งผลให้การพัฒนาและบรรจุโดรนพลีชีพเข้าประจำการกลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของทุกกองทัพ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์และรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่

สนามแข่งโดรน FPV สู่สนามรบ 

“โดรนพลีชีพ” แตกต่างจากโดรนทหารรุ่นดั้งเดิมอย่างชัดเจน เพราะผู้ควบคุมจะสวมแว่นตาเสมือนจริง (Goggles) ที่รับภาพสดจากกล้องหน้าของโดรน ทำให้รู้สึกเหมือนบินอยู่ในห้องนักบินจริง ระบบควบคุมแบบมนุษย์ล้วน ๆ ไม่มีตัวช่วยทรงตัว ทำให้โดรน FPV สามารถมุด ซุก พุ่ง และดิ่งโจมตีด้วยความแม่นยำสูง เหมาะอย่างยิ่งต่อการไล่ล่าเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็วหรือซ่อนในมุมอับสายตา

กรณีสงครามในยูเครนจุดพลิกผันเริ่มจากฝั่งยูเครน ซึ่งอาศัยฐานชุมชนผู้เล่นโดรน นักแข่งโดรน FPV และวิศวกรอาสา มาดัดแปลงโดรนแข่งราคาถูกให้ติดระเบิดแบบกามิกาเซะ หรือโดรนพลีชีพ ความสำเร็จในการทำลายรถถังรัสเซียด้วยอาวุธต้นทุนเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์ทำให้ “โดรนพลีชีพ” ถูกยกระดับเป็นอาวุธมาตรฐานอย่างรวดเร็ว รัสเซียซึ่งตามหลังในระยะแรก เร่งระดมกำลังผลิตจนปัจจุบันทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สถานะมีขีดความสามารถโจมตีเชิงลึกด้วย “โดรนพลีชีพ” ในปริมาณนับพันลำต่อเดือน

โดรนพลีชีพวิศวกรรมแห่งความตาย

“โดรนพลีชีพ” สำหรับการรบถูกออกแบบให้แข็งแรงขึ้นกว่ารุ่นแข่งขันทั่วไป เฟรมขนาด 7-10 นิ้วทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อรองรับหัวรบ 1-3 กิโลกรัม มอเตอร์แรงบิดสูงช่วยยกน้ำหนักได้ดี และการใช้แบตเตอรี่ Li-ion แบบแพ็กประกอบเองทำให้บินไกลขึ้นกว่าชุด LiPo มาตรฐาน แม้ความเร็วสูงสุดยังคงแตะ 100-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ระบบส่งภาพส่วนใหญ่ยังคงใช้สัญญาณอนาล็อก 5.8 GHz หรือ 1.3 GHz เพราะมีความหน่วงต่ำและไม่ดับทันทีแม้ถูกกวนสัญญาณ ส่วนระบบควบคุมนิยมใช้ ExpressLRS หรือ Crossfire บนคลื่น 900 MHz เพื่อให้ทะลุสิ่งกีดขวางและควบคุมได้ไกลหลายกิโลเมตร ขณะเดียวกันกลไกจุดชนวนถูกดัดแปลงให้หลากหลาย ตั้งแต่ลวดสัมผัสราคาถูก สวิตช์แรงกระแทก ไปจนถึงระบบสั่งระเบิดระยะไกล ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นและอานุภาพในการโจมตีอย่างมาก

หัวรบที่นิยมใช้มีตั้งแต่หัวรบเจาะเกราะ RPG (HEAT) ที่สามารถเจาะเหล็ก 300-500 มิลลิเมตร หัวรบเทอร์โมบาริกสำหรับโจมตีบังเกอร์ ไปจนถึงระเบิดแตกอากาศหรือ IED แบบประดิษฐ์เอง ทำให้ FPV สามารถโจมตีทั้งรถถัง ยานเกราะ และทหารราบได้ครอบคลุมทุกภารกิจ

ยุทธวิธีใหม่โดรนพลีชีพในสนามรบ

การใช้งาน “โดรนพลีชีพ” เพิ่มความซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ หน่วยล่าสังหารประกอบด้วยนักบิน, ช่างเทคนิค, พลชี้เป้า และผู้บังคับภารกิจ ทำงานประสานกับโดรนสำรวจ เพื่อค้นหาพิกัดและประเมินผลการโจมตี ยุทธวิธียานแม่ หรือการใช้โดรนขนาดใหญ่พา “โดรนพลีชีพ” หลายลำไปปล่อยหลังแนวข้าศึก รวมถึงเทคนิคการวางตัวทวนสัญญาณลอยฟ้า (Aerial Relay) ช่วยขยายระยะโจมตีได้ลึกถึง 40-70 กิโลเมตร

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการใช้เส้นใยแย้วนำแสงในการควบคุมและบังคับ “โดรนพลีชีพ” โดยตรงเพื่อหลบหลีกจากการถูกสกัดกั้นด้วยเครื่องยิงทำลายโดรน ด้วยการตัดสัญญาณ โดยอาศัยข้อได้เปรียบของเส้นใยแก้วนำแสงที่ส่งข้อมูลได้รวดเร็วและถูกรบกวนได้ยาก แม้จะมีข้อเสียในด้านการลดระยะทางโจมตีลง และความคล่องตัวในการบินหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

ความแม่นยำระดับเซนติเมตรทำให้ “โดรนพลีชีพ” สามารถโจมตีจุดอ่อนสำคัญของยานรบ เช่น ช่องว่างป้อมปืน ห้องเครื่อง หรือแม้แต่แฮทช์เปิดบนรถถัง การบินไล่ล่าตามร่องเพลาะ (Trench Run) ทำให้ทหารราบไม่สามารถหลบภัยได้เหมือนในอดีต ส่งผลให้ FPV กลายเป็นฝันร้ายของแนวป้องกันภาคพื้นดินในทุกสมรภูมิ

เศรษฐศาสตร์สงครามอสมมาตร 

หัวใจความน่ากลัวของ “โดรนพลีชีพ” ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีเท่านั้น แต่อยู่ที่สมการความคุ้มค่าใหม่ (Cost-exchange Ratio) เช่น จรวด Javelin หนึ่งลูกมีราคากว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,530,000 บาท ขณะที่โดรน “โดรนพลีชีพ” แบบ DIY มีราคาเพียง 400-1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 31,600 บาท แต่สามารถทำลายรถถังที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้อย่างสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้กองทัพทั่วโลกเผชิญแรงกดดันในการปรับยุทธศาสตร์ เพราะต้นทุนการป้องกันสูงกว่าต้นทุนการโจมตีอย่างมหาศาล

ส่วนความพยายามในการป้องกัน “โดรนพลีชีพ” ก็ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน เช่น การใช้ตาข่ายดักจับโดรน การติดตั้งเกราะป้องกันโดรนให้กับรถถัง หรือการใช้ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW) ยังไม่สามารถปิดเกมได้เด็ดขาด เพราะอีกด้านหนึ่งก็มีการพัฒนาโดรนพลีชีพ ควบคุมด้วยสายไฟเบอร์ออปติกและระบบนำวิถีด้วย AI เพื่อเลี่ยงการถูกรบกวนสัญญาณ จนเกิดการแข่งขันเทคโนโลยีแบบตามทันไม่สิ้นสุด

โดรนพลีชีพอาวุธยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนสมการสงคราม

จากอุปกรณ์เล่นสนุกสู่ยุทธภัณฑ์ชั้นนำ “โดรนพลีชีพ” ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อสงครามสมัยใหม่ ทั้งด้านยุทธวิธี โครงสร้างหน่วยรบ การป้องกัน และเศรษฐศาสตร์ความมั่นคง ประเทศต่าง ๆ รวมถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเร่งปรับตัวเพื่อรับมือยุคที่ “โดรนราคาไม่กี่ร้อยดอลลาร์” สามารถทำลายยุทโธปกรณ์มูลค่าสูงได้อย่างง่ายดาย ความเข้าใจต่อพลวัตนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้วางแผนทางทหารในระดับยุทธศาสตร์ เพราะ “โดรนพลีชีพ” ไม่ใช่อนาคตของสงครามอีกต่อไป แต่มันคือนิยามสมรภูมิใหม่ทั่วโลก

การผงาดขึ้นของ “โดรนพลีชีพ” สะท้อนให้เห็นว่าสงครามยุคดิจิทัลมิได้ขับเคลื่อนด้วยขนาดกำลังรบเพียงอย่างเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ความเร็วในการปรับตัว และความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาวุธต้นทุนต่ำแต่ประสิทธิภาพสูงชนิดนี้กำลังบีบให้กองทัพทั่วโลกต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ตั้งแต่ระดับยุทธวิธีจนถึงโครงสร้างความมั่นคง โดยผู้ที่ปรับตัวได้เร็วที่สุดย่อมเป็นฝ่ายครองความได้เปรียบในสงครามยุคที่ “ความแม่นยำ ราคาถูก และจำนวนมหาศาล” กลายเป็นกฎใหม่ของสมรภูมิ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง