เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้


บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways Up หลังวานนี้ทะลุผ่านแนวต้าน 1,540+- จุด ขึ้นมาได้แข็งแรง โดยคาดปัจจัยการเมืองในประเทศที่คลี่คลายหลังได้ตัวนายกฯคนที่ 30 จะหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ต่อเนื่องจากการได้รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังจากยืดเยื้อกว่า 3 เดือน โดยมีโอกาสลุ้นเห็นกระแสเงินทุนต่างชาติพลิกกลับมาไหลเข้า และช่วยลบล้างปัจจัยลบในฝั่งต่างประเทศทั้งความกังวลทิศทางเศรษฐกิจจีนและโลกที่ชะลอ รวมถึงเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงยาวนาน
ฝ่ายวิจัยมองว่า SET Index มีโอกาสกลับมา Outperform ตลาดหุ้นโลกหลังจากที่ Underperform มาตลอดในช่วง 7-8 เดือนแรกของปีนี้ โมเมนตัมกำไรบจ.คาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 2Q23 และจะเร่งขึ้นใน 2H23-2024 เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม Domestic Play ที่คาดจะปรับตัวได้ดีกว่า Global Play จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐที่จะทยอยออกมาในอนาคต
กลยุทธ์ : เน้นกลุ่ม Domestic Play และหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไร 2H23 แข็งแกร่ง//ถือลงทุนต่อเนื่องหลังสะสมบริเวณ 1,500+- จุดไปแล้ว
หุ้นเด่นเดือนส.ค. : BA, BBL, NSL, RBF, TACC
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้น ตลาดตอบรับการเมืองไทย แต่ยังกังวลเรื่องดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่วนต่างประเทศ มีความกังวลแบงก์สหรัฐฯ ถูกคั่นเครดิต และเริ่มพูดถึง Real Yield ที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯยังไม่จบรอบการขึ้น อย่างไรก็ตามต้องจับตาสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยในการประชุม แจ็คสัน โฮล (24-26) ที่นาย Powell จะมีการพูดถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ย
• ราคาสินค้าพลังงานขยับตัวกลับมาสูงขึ้น ล่าสุด Brent $83.8 เหรียญ แต่จีนยังเจอปัญหาหนัก ในเรื่องภาคอสังหาฯ ที่ยังหาทางออกไม่ได้
• การเมืองไทยได้นายกฯ แล้ว และเริ่มมีความชัดเจนขึ้น จากนี้จับตาดูหน้าตา ครม. ชุดใหม่ ที่คาดว่าจะสามารถรู้ใด้ภายใน 7 วัน ซึ่งบรรยากาศการเมืองไทย ช่วยหนุนตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้น และวานนี้(22) ต่างชาติ Net buy 509 ล้านบาท
• วันนี้จะมีการประชุม ครม. นัดส่งท้ายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะมีการรายงานความคืบหน้าไฮสปีดไทย-จีน
• Event วันนี้ คือ Thailand Focus (23-25) และ JASIF ประชุมผู้ถือหุ้น
Strategy
• ผลโหวตออกมาตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดกัน ตลาดน่าจะมีโมเมนตัม รับกับข่าวบวกนี้ไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากขึ้นมาแล้วเกือบ 2% จากการเก็งเรื่องนี้ โดยเรายังมองเป้าดัชนีฯ 1-3 เดือน ไว้ที่ 1560 จุด
• จุดสำคัญ จุดต่อไปหลังจากได้นายกฯ แล้ว คือการตั้ง ครม. ที่คาดจะจบหรือรู้ตัวคน ภายใน 7 วัน ตำแหน่งสำคัญที่สุดสำหรับเรา คือ รมต.คลัง (ถ้าชื่อดี มีผลต่อหุ้นภาคการเงิน เป็นลำดับแรก เราชอบ KTB, SAWAD) ส่วน กระทรวงอื่นๆ เช่น พลังงาน คมนาคม สาธารณสุข โดยหุ้นเด่น ของแต่ละกระทรวง คือ PTT, BEM, GUNKUL
• การวางหุ้นในพอร์ต เราเลือกขายหุ้นออกไปบ้าง และจัดหุ้นเข้ามาใหม่ คือ KTB ที่รับผลบวกจากการโหวตนายกฯ และ หุ้นที่มีทรงราคาและผลประกอบการดีๆ เข้ามาเสริม โดยลดการถือเงินสดเหลือเพียง 20%
• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำ TRUE*, BTG* ออก และนำ KTB, JMT, TKN* เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย KTB(20%), JMT(10%), TKN*(10%), ITC(20%), CRC(10%), DMT*(10%)
Strategy Stock Pick
KTB : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 20.50 บาท) “ กำไร 3Q ยังจะโตต่อเนื่อง ”
• การที่มีนายกฯ และรัฐบาลที่เป็นทางการ จะทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น โดย KTB มีความเด่นในเรื่องการเติบโตของกำไร และเป็นหุ้นใหญ่ ที่อิงกับทิศทางเศรษฐกิจ ที่คาดจะดีขึ้นการการกระตุ้นการลงทุนใหม่ๆ
• KTB ประกาศกำไรสุทธิ 2Q23 อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท (+22% YoY และ +1% QoQ) เป็นไปตามที่ตลาดและเราคาด เดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมี NIM เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด
• แนวโน้มกำไรสุทธิใน 3Q23E จะเพิ่มขึ้นได้ทั้ง YoY และ QoQจากสำรองฯที่ยังอยู่ในระดับต่ำและ NIM ที่เพิ่มขึ้นได้ดี
• DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2023E-2024E ที่ 4.0 หมื่น ลบ. และ 4.3 หมื่น ลบ. +19%YoY และ +8%YoY ตามลำดับ
• นโยบายรัฐบาลใหม่ ในเรื่องของการแจกเงินอุดหนุนให้กับประชาชน จะทำให้มีการใช้เงินผ่าน app “เป๋าตังค์” มากขึ้น แต่ทั้งนี้ คงต้องดูว่าจะมีวิธีแจกเงินในรูปแบบใด (จะใช้ Blockchain หรือไม่)
Technical : NCAP, TEAMG
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET มีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,560 – 1,570 มีแนวรับ 1,535 – 1,540 จาก ม.กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ แนะนำซื้อ KBANK,SCB,KTB/ค้าปลีก CPALL,CRC,COM7,GLOBAL/สินเชื่ออุปโภค SAWAD,MTC/ กลุ่มอิงการเมือง ADVANC,INTUCH,GULF,EA,STEC,CK,SC,SIRI / นิคมฯ AMATA,WHA,ROJNA
OSP* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 33.00 บาท) แนวโน้ม 3Q66 เติบโต YoY จากฐานที่ต่ำ ส่วน QoQ น่าจะสามารถฟื้นตัวได้แม้เป็น Low season จากการเพิ่ม Market Share ใน Energy drink (ส่วนแบ่งการตลาด 19% ในกลุ่มขวด 10 บาท และส่วนแบ่งการตลาด 72% ในกลุ่มขวด 12 บาท) ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ลดลง (ก๊าซฯ ค่าไฟฟ้า บรรจุภัณฑ์) ช่วยหนุนให้ GPM ดีขึ้น ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ากำไรปี 66 โตไม่ต่ำกว่า double digit จากสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลงและน่าจะได้ Market Share เพิ่มขึ้นหลังคู่แข่งปรับขึ้นราคาขาย เบื้องต้นตลาดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 66 ที่ 2.7 พันล้านบาท +39%YoY
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 72.50 บาท) กำไรสุทธิ 2Q66 อยู่ที่ 4,438ลบ.(+47.75%YoY, +7.66%QoQ) จากรายได้ร้านสะดวกซื้อ7-11(+16%YoY, +8%QoQ) ที่มีแรงหนุนจาก Traffic การเดินทางที่เพิ่มขึ้น การเปิดรับนักท่องเที่ยว การใช้จ่ายช่วงเลือกตั้ง และอากาศร้อนบวกต่อสินค้าเครื่องดื่ม ส่วนช่วงถัดไป 2H66 นี้ เราคาดว่าจะดีกว่าครึ่งแรกจาก 1.การฟื้นตัวฝั่งนักท่องเที่ยว(peak ในQ4) 2.ภาระดอกเบี้ยหลัง CPAXT refinance เสร็จสิ้น และ 3.อัตราค่าไฟฟ้างวด ก.ย.-ธ.ค.66 ที่ปรับลดลงต่อจากงวด พ.ค.-ส.ค.66