คนไทยซื้อ "ทองคำ" อันดับ 10 ของโลก "กูรู" ล็อคเป้าราคาทองปีนี้ 57,000 บาท

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำไปต่อ หลังจาก Fedwatch Tool ให้น้ำหนักกว่า 90% ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25-0.50% ในเดือนนี้ และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 0.75%
โดยหากรอบนี้เฟดลดดอกเบี้ย 0.50% ราคาทองน่าจะดีดตัวขึ้น แต่หากปรับลด 0.25% ราคาอาจไปไม่ไกลนัก เพราะตลาดรับข่าวไปมากแล้ว ให้แนวต้าน 3,750 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ถ้าผ่านไปได้ราคาทองคำมีเสถียรภาพมากขึ้น ให้แนวต้านถัดไป 3,850-3,950 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และแนวต้านใหญ่ที่ 4,000 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งคาดการณ์ยากมากว่าจะเห็นปีนี้หรือไม่ เพราะขึ้นกับปัจจัยต่างประเทศ โดยล่าสุดราคาทองคำทะลุ 3,600 เหรียญสหรัฐ/สหรัฐ ทำสถิติสูงสุดไปแล้ว
ปัจจัยหนุนราคาทองคำ ได้แก่ นโยบายภาษีสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ , การลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ (De-dollarization), สงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความต้องการทองคำของธนาคารกลางในหลายประเทศ
นางพวรรณ์ กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับขึ้นไปปีละเฉลี่ย 100 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แต่ปีนี้ช่วงครึ่งแรกราคาทองคำปรับขึ้นไปแล้ว 400 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยธนาคารกลางประเทศต่างๆ ก็ยังเดินหน้าซื้อทองคำต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละปีขุดทองคำได้ 300 ตัน กลุ่มธนาคารกลางเข้าซื้อ 100 ตัน ส่วนที่เหลือมีความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน (Investment) , ธุรกิจจิวเวลรี่ และ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ดี จากที่เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น ทำให้คาดว่าปีนี้ทองไทยน่าจะอยู่ที่ 56,000-57,000 บาท (บนค่าเงินบาท 31 บาท/ดอลลาร์) จากก่อนหน้าคาดว่าทองไทยน่าจะแตะ 60,000 บาท (บนค่าเงินบาท 32.50 บาท/ดอลลาร์) จากปัจจุบันราคาทองคำปรับขึ้นมากว่า 54,000 บาท เนื่องจากเงินบาทแข็งค่ามากขึ้น ซึ่งทางสหรัฐน่าจะพยายามทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าไปมาก โดยให้อยู่บริเวณ 31 บาทปลายๆ หรือ 32 บาท หากไม่ทำอะไรเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นมาถึง 31.00 บาท/ดอลลาร์
ขณะที่ทิศทางความต้องการทองคำในประเทศไทยปีนี้ ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีความต้องการทองคำของไทยเพื่อการบริโภค (ไม่รวมอุปสงค์จากธนาคารกลาง) สูงถึง 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคของไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก และอันดับที่ 4 ของเอเชีย
ประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี 2564-2567 ขณะที่ปีนี้ภาพรวมครึ่งปีแรกความต้องการทองคำเพื่อบริโภคของไทยอยู่ที่ 20.7 ตัน เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคาดการณ์ว่าทิศทางการเติบโตของไทยปีนี้ทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าปี 2567 แน่นอน โดยเฉพาะความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน เนื่องจากทิศทางราคาปีนี้ยังมีแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน แม้ว่าล่าสุดจะทำจุดสูงสุดใหม่ทะลุ 3,500 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ไปแล้ว
อนึ่ง ช่วง 8 เดือนแรกของปี 68 กลุ่ม YLG มียอดขายทองคำ 2 ล้านล้านบาท และในสิงคโปร์ 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่ากับยอดขายทั้งปี 67
อย่างไรก็ดี YLG เปิเผยว่า จากการสำรวจล่าสุดพบว่านักลงทุนไทย 100% มีจำนวน 97% ที่ลงทุนในทองคำ ในกลุ่มนี้มี 20% ที่เข้ามาลงทุนทองคำโดยที่ไม่เคยซื้อมาก่อน และมี 77% ที่ลงทุนโดยเคยซื้อทองคำมาแล้ว ขณะเดียวกันมีเพียง 3% ที่ไม่คิดลงทุนและซื้อทองคำ โดยให้เหตุผลว่าความรู้และความสามารถในการซื้อมีจำกัด รวมถึงไม่ทราบถึงทางเลือกการลงทุนทองคำที่จับต้องได้ราคาไม่แพง รวมถึงนักลงทุนทองคำเกือบครึ่งหนึ่งกังวลเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ทองคำ เช่น สินค้าปลอม และ ความบริสุทธิ์ที่ไม่มีการรับประกันความปลอดภัย รวมถึงกังวลด้านการเก็บรักษาทองคำให้ปลอดภัย
จากปัญหาและความกังวลดังกล่าวคณะกรรมการสมาคมผู้ค้าทองคำจึงได้ร่วมมือกันแต่งตั้งองค์กรกำกับดูแลการดำเนินงานกิจการค้าทองออนไลน์ในประเทศไทย (SRO) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลตนเอง มีคณะอนุกรรมการด้านการซื้อขายทองคำออนไลน์จำนวน 7 คน วาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี ดำรงตำแหน่งสูงสุด 2 วาระติดต่อกัน โดยจะคัดเลือกจากนิติบุคคลไทยที่มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาทขึ้นไปที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการค้าทองคำออนไลน์และมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ความเป็นเจ้าของ
"ความร่วมมือในการก่อตั้ง SRO นี้ ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมทองคำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการรักษาความซื่อสัตย์สุจริต การรับรองราคาที่โปร่งใสและเป็นธรรม ปกป้องข้อมูลลูกค้าและความปลอดภัยของระบบ หลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้เข้าใจผิดหรือผิดกฎหมาย"
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์และราคาอย่างชัดเจน รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่งเสริมความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำออนไลน์ มุ่งสร้างความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น และมาตรฐานตลาด เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อหรือผู้ขายได้ประโยชน์จากมาตรฐานความโปร่งใสที่ SRO สร้างขึ้น การรณรงค์การมีส่วนร่วมในการสร้างความโปร่งใสของสมาชิก มีช่องทางร้องเรียนและการประเมินสมาชิก สร้างระบบนิเวศการซื้อขายทองคำที่น่าเชื่อถือและยืดหยุ่น รับรองการคุ้มครองผู้บริโภคและความเชื่อมั่นในระยะยาว สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากลเพื่อการกำกับดูแลที่ยั่งยืนส่งเสริมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผ่านการศึกษาและนวัตกรรม
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง มองราคาทองคำในปีนี้ที่ 56,000 บาท และทองคำโลกที่ 3,780 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ จากปัจจัยสนับสนุนของการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่คาดว่าปีนี้จะปรับลด 2-3 ครั้ง หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐซบเซา ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ส่วนแนวโน้มตลาดทองคำในไตรมาส 4/68 นายธนรัชต์ กล่าวว่า ปัจจัยภายนอกยังเป็นแรงหนุนสำคัญ ทั้งทิศทางดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจหลัก สภาวะค่าเงิน และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน ขณะที่ในประเทศ สัญญาณการบริโภคยังทรงตัวในเชิงบวกและการขยายบริการหลากหลายช่องทางช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายและออมทอง
"นักลงทุนควรกำหนดเป้าหมายระยะยาว เลือกระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม และทยอยสะสมอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความผันผวนของต้นทุนมากกว่าการหวังผลระยะสั้น" นายธนรัชต์ กล่าว
นอกจากนี้ กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง ยังวางบทบาทเชิงรุกในการผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำอาเซียน ผ่านการพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ที่เชื่อมภูมิภาค ยกระดับทักษะฝีมือช่างทองและลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพร้อมเรียกร้องความร่วมือจากภาคเอกชน หน่วยงานกำกับ และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง
ในช่วง 8 เดือนของปี 68 กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง มียอดขายทองคำมากกว่ายอดขายในปี 67 ที่ผ่านมาที่มี 2.67 ล้านล้านบาท
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
