'ชาวมุสลิม' ในสหรัฐฯ ยังผจญ 'ความเกลียดกลัวอิสลาม' กว่า 20 ปีหลังเหตุ 9/11
ไคโร, 15 ก.ย. (ซินหัว) -- คณะผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ เผยว่าชุมชนมุสลิมในสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความเกลียดชัง การถูกกลั่นแกล้ง การเลือกปฏิบัติ และความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แม้การโจมตีของผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์วินาศกรรม 11 ก.ย. 2001 หรือ 9/11 จะผ่านพ้นมานาน 21 ปีแล้ว
รายงานวาระครบรอบ 21 ปี เหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 จากช่องข่าวภาษาอังกฤษของสำนักข่าวอัล จาซีรา (Al Jazeera) เผยว่าเหตุวินาศกรรมดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่แห่งอาชญากรรมจากความเกลียดชัง การเหยียดเชื้อชาติ และการหวาดกลัวชาวต่างชาติที่เป็นมุสลิม พร้อมระบุว่าอาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อชาวมุสลิมในสหรัฐฯ พุ่งสูงทันทีหลังวันที่ 11 กันยายน 2001 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆฮัสซัม เอโลช ผู้อำนวยการบริหารสภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม สาขาลอสแอนเจลิส ระบุว่าชาวมุสลิมตกเป็นเป้าความเกลียดชัง การถูกกลั่นแกล้ง และการเลือกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลพวงจากการเหมารวมของกลุ่มคนเกลียดกลัวอิสลามและสื่อต่างๆ ในช่วงหลายปีหลังเหตุวินาศกรรม ซึ่งปัญหาโรคเกลียดกลัวอิสลามนี้มีต้นตอจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการสร้าง "ศัตรูร่วม" เพื่อป้ายความผิดซาห์รา จามัล รองผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยอมรับความต่างทางศาสนา สังกัดมหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) ในเมืองฮิวสตัน ระบุว่าชาวมุสลิมร้อยละ 62 รู้สึกถูกมุ่งร้ายโดยมีปัจจัยจากศาสนา ขณะร้อยละ 65 รู้สึกว่าตนเองถูกดูหมิ่นจามัลเสริมว่าสหรัฐฯ มีประวัติศาสตร์ "การลดทอนความเป็นมนุษย์และเลือกปฏิบัติ" ต่อกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนามาอย่างยาวนาน ซึ่งรวมถึงชนพื้นเมืองอเมริกัน ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ชาวยิว และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย พร้อมกระตุ้นเตือนทางการสหรัฐฯ จัดการกับปัญหานี้โดยตรง