รีเซต

น้ำเหนือทะลักลงเจ้าพระยา ชนน้ำทะเลหนุน 9-10 ต.ค.นี้ กทม.เตือนริมน้ำเตรียมรับมือ

น้ำเหนือทะลักลงเจ้าพระยา  ชนน้ำทะเลหนุน 9-10 ต.ค.นี้  กทม.เตือนริมน้ำเตรียมรับมือ
TNN ช่อง16
6 ตุลาคม 2568 ( 11:30 )
11

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. รายงานสถานการณ์น้ำในเขื่อนหลักของประเทศเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า เขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งในภาคเหนือมีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ขณะที่หน่วยงานด้านชลประทานยังคงบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมการไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาและลดผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มท้ายน้ำ

เริ่มจาก เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ที่รับน้ำจากแม่น้ำปิง มีปริมาณน้ำเก็บกักรวมร้อยละ 89 ของความจุ เขื่อนกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง รับน้ำจากแม่น้ำวัง มีน้ำเก็บกักร้อยละ 87 เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ รับน้ำจากแม่น้ำน่าน มีน้ำเก็บกักร้อยละ 96 และ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งรับน้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน มีปริมาณน้ำเต็มความจุ 100% แล้ว

น้ำจากแม่น้ำทั้ง 4 สาย ปิง วัง ยม และน่าน จะไหลมารวมกันที่ อำเภอปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา โดยสถานีวัดน้ำ C2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ วัดระดับการไหลของน้ำเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม อยู่ที่ 2,776 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ส่วนที่ เขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ยังคงอัตราการระบายน้ำที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่ 15.94 เมตร ต่ำกว่าตลิ่งเพียง 4 เซนติเมตร ถือว่ายังอยู่ในระดับทรงตัว

กรมชลประทานยังคงดำเนินการ “หน่วงน้ำ” ไว้ทางตอนเหนือ พร้อมรับน้ำเข้าสู่ระบบชลประทานทั้งสองฝั่ง เพื่อควบคุมการไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาและลดผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีบางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่งในบางจุด ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี และชัยนาท

ด้าน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งรับน้ำจากแม่น้ำป่าสัก มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ ร้อยละ 73 ของความจุ โดยมีการระบายน้ำในอัตรา 450 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมีแผนทยอย “ลดการระบายแบบขั้นบันได” วันละ 50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อลดแรงกระทบต่อลำน้ำป่าสักและพื้นที่ท้ายน้ำ

น้ำจากแม่น้ำป่าสักจะไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนลงสู่ตอนล่างของลุ่มน้ำ

ขณะที่ เขื่อนพระราม 6 อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงอัตราการระบายน้ำอยู่ที่ 594 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที พร้อมผันน้ำเข้าสู่คลองระพีพัฒน์ เพื่อควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมและลดผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำ

ด้านนาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่ตรวจสถานีสูบน้ำพระโขนง ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการระบายน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ว่า สถานการณ์น้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร “โดยรวมเริ่มดีขึ้น” โดยเฉพาะเขตประเวศที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ซึ่งเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา มีฝนตกสูงสุดถึง 122 มิลลิเมตร แต่ขณะนี้น้ำได้ลดระดับลงแล้ว เหลือเพียงน้ำขังในซอยย่อยบางจุดที่ต้องเร่งระบายต่อเนื่อง

ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าวว่า “สถานการณ์น้ำเหนือยังไม่น่ากังวล” เพราะแม้เขื่อนหลักหลายแห่งจะมีน้ำเต็มหรือใกล้เต็ม แต่การบริหารจัดการปีนี้มีประสิทธิภาพกว่าปี 2554 อย่างมาก ปริมาณน้ำที่ปล่อยจากเขื่อนเจ้าพระยายังอยู่ในระดับ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งต่ำกว่าปี 2554 และยังห่างจากระดับวิกฤตที่กรุงเทพฯ สามารถรองรับได้คือ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงนี้คือ “น้ำทะเลหนุนสูง” โดยคาดการณ์ว่าจะขึ้นสูงสุดในวันที่ 10–11 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะมีน้ำขึ้นวันละ 2 รอบ คือช่วงเช้าประมาณ 09.00 น. และช่วงเย็นราว 19.00 น.

กรุงเทพมหานครได้เตรียมมาตรการรับมือ โดยเสริมแนวกระสอบทราย และจัดทำทางเดินไม้ให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เช่น ชุมชนโรงสี เทวราชกุญชร สามารถสัญจรได้ปลอดภัย

นายชัชชาติย้ำว่า “สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังไม่น่าห่วง เจ้าหน้าที่สำนักการระบายน้ำทำงานเต็มที่ไม่มีวันหยุด เพราะน้ำท่วมไม่มีวันหยุด” พร้อมระบุว่าอีกไม่นานประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝุ่นหลังสิ้นสุดฤดูฝน และได้เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยขอให้ประชาชนแจ้งข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมเพิ่มเติม เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง